“…กว่าจะตามฝันจนประสบความสำเร็จ คำว่าสบายไม่มีอยู่แล้ว แค่ขอให้มุ่งมั่น ไม่ยอมแพ้ เราก็ไปถึงจุดหมายได้แน่นอน อยู่แค่ว่าจะช้าหรือเร็ว” เป็นสิ่งที่ ลูกตาล-ชนิษฐา โลจนานนท์ บอกกับเรา…ถึง “แนวคิด” ของเธอ ในวันที่เธอกลายเป็นที่สนอกสนใจจากบรรดาชาวโลกโซเชียล หลังจากเธอได้เปิดตัวด้วยการโชว์ลีลา “ตีกลอง” สุดแสนดุดัน ที่ดูสวนทางกับภาพลักษณ์หน้าตาน่ารักของเธอ จนมีแฟนคลับติดตามเธอผ่านช่องยูทูบ Tarn Softwhip มากกว่า 2 ล้านคน!!! ซึ่งวันนี้ “ทีมวิถีชีวิต” ได้พาเธอมาทำความรู้จักกับพวกเราให้มากขึ้น… เรื่องราว ชีวิตสาวมือกลองคนดัง คนนี้เป็นอย่างไรบ้าง? มาดูกัน…

“ลูกตาล-ชนิษฐา” ที่แฟนคลับรู้จักเธอกันดีในชื่อ “Tarn Softwhip” อธิบายให้ “ทีมวิถีชีวิต” ฟังเกี่ยวกับชื่อนี้ว่าชื่อ Tarn Softwhip นั้นเป็นการนำเอาคำว่า “Soft” ที่หมายถึง นุ่ม ๆ เบา ๆ กับคำว่า “whip” ที่แปลว่า ฟาด มาผสมรวมกัน โดยเธอตั้งตามคาแรกเตอร์ที่ดูเป็น “สาวแว่น” แบ๊ว ๆ แต่ “ดุดัน” เวลาตีกลอง จากนั้นเธอก็บอกเล่าเกี่ยวกับประวัติของตัวเองกับเราว่า เกิดและโตที่กรุงเทพฯ โดยเป็นลูกคนสุดท้องของ คุณพ่อ-ทรงพันธุ์ กับ คุณแม่-วิชุดา และเธอมีพี่ชาย 1 คน ชื่อ พีรพันธุ์

เอาจริง ๆ สมัยเด็ก ๆ ไม่ได้คิดจะเป็นมือกลอง เรียกได้ว่าไม่มีความคิดนี้อยู่ในหัวเลย เนื่องจากตอนเด็กจะติดพ่อมาก เพราะเรามีพ่อเป็นไอดอล ซึ่งพ่อทำงานเป็นวิศวกร ตอนเด็ก ๆ เราก็เลยอยากเป็นวิศวกรเหมือนกันกับคุณพ่อ เจ้าตัวบอกเราเรื่องนี้ และก็ได้เล่าถึงจุดเปลี่ยนชีวิตจนได้เข้าสู่ เส้นทางมือกลอง ว่า เข้าสู่เส้นทางนี้เนื่องจากช่วง ป.6 เพื่อนที่โรงเรียนฮิตเรียนดนตรีกัน ซึ่งเธอเรียนอยู่ที่โรงเรียนราชินี ที่เป็นโรงเรียนผู้หญิงล้วน โดยเพื่อน ๆ ส่วนใหญ่มักจะเลือกเรียนเปียโน ไวโอลิน ไม่ก็กีตาร์ ซึ่งมีเธอเพียงคนเดียวที่เลือกเรียน “กลองชุด” เนื่องจากมองว่า กลองชุด เป็นเครื่องดนตรีที่ผู้หญิงไม่น่าจะเลือกเรียน จึงคิดว่าน่าจะเป็นเครื่องดนตรีที่ไม่ซ้ำใคร บวกกับเป็นคนชอบฟังเสียงกลอง เพราะฟังแล้วทำให้รู้สึกเร้าใจ

“ครั้งแรกที่ไปเรียน และได้ตีไม้กลองลงบนสแนร์ครั้งแรก ความรู้สึกตอนนั้นมันบอกเราว่าใช่เลย และยิ่งเรียนยิ่งเล่นก็ยิ่งหลงใหลในเสน่ห์ของเสียงกลอง หลังจากนั้นก็ได้แต่เฝ้ารอคอยว่าเมื่อไหร่จะถึงวันที่เราจะได้ไปเรียนตีกลองอีก” เธอเล่าถึงเหตุการณ์เมื่อเธอ “ตกหลุมรักเสน่ห์ของเสียงกลอง” โดยเธอยังเล่าอีกว่า ในช่วงที่เรียนกลองนั้น เธอจริงจังมาก จนทำให้การเรียนวิชาการนั้นเธอแทบไม่ได้สนใจเลย ประกอบกับช่วงนั้นเธอติดการ์ตูนอนิเมะมาก เมื่อผสมปนเปกัน จึงส่งผลทำให้ผลการเรียนของเธอตกลง จนพ่อแม่เริ่มทัก และเธอก็รู้สึกด้วยตัวเองว่า ปล่อยไว้แบบนี้คงไม่ได้การ เธอจึงวางไม้กลอง และหันกลับมาตั้งหน้าตั้งตาเรียนหนังสืออีกครั้ง จนห่างหายจากเครื่องดนตรีชนิดนี้ไปอยู่นานหลายปี…

ช่วงที่ไม่ได้เรียนกลอง เราก็ลองไปเรียนเครื่องดนตรีพวกไวโอลีน กีตาร์ แต่รู้สึกว่ามันไม่ใช่ มันไม่เหมือนกับตอนที่ได้เล่นกลอง แต่ช่วงนั้นต้องเอาการเรียนเป็นหลักก่อน ก็ว่างเว้นอยู่นาน จนได้หวนกลับมาเล่นกลองอีกครั้งในตอนที่เรียนอยู่ชั้น ม.3 ลูกตาลสาวแว่นมือกลองคนดังเล่าให้ฟังเรื่องนี้ พร้อมเล่าถึงการได้มาเล่นกลองอีกครั้งว่า ตอนนั้นได้เข้าชมรมเครื่องเป่าสากล พอเข้าไปห้องดนตรี ก็ไปเจอกับกลองของวงดุริยางค์ที่วางเรียงกัน ก็เลยเข้าไปตีเล่นตามที่เคยเรียนมา จนอาจารย์มาเห็นว่าเล่นกลองได้ อาจารย์ก็เลยเปลี่ยนจากชมรมเครื่องเป่ามาเป็นชมรมดนตรีแทน (หัวเราะ) และฟอร์มวงขึ้นมาสำหรับเล่นงานโรงเรียน จึงเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้เราได้กลับมาเล่นกลองอีกครั้ง

กับวง Molekul

เจ้าตัวเล่าต่อไปว่า จนมาช่วง ม.4 เธอต้องเริ่มวางแผนการเรียนแล้วว่าจะไปเรียนต่ออะไร ด้วยความคิดที่สับสนว่าจะเรียนต่อด้านไหนดี เพราะเธอทั้งอยากเรียนเกี่ยวกับการออกแบบสินค้า เพื่อที่จบแล้วก็จะได้มาช่วยงานพ่อ แต่อีกสิ่งที่ชอบก็คือการเล่นกลองชุดที่ทำให้เธอมีความสุข แต่เธอก็กลัวว่า หากเลือกเรียนทางด้านดนตรี เมื่อเรียนจบมาแล้วจะทำงานอะไร จะอยู่รอดด้วยดนตรีไหม ทำให้ความคิดจึงไขว้เขวไปมา และเมื่อตัดสินใจไม่ได้ เธอจึงไปปรึกษากับพ่อเพื่อให้พ่อช่วยตัดสินใจ

พ่อให้คำแนะนำว่า ให้เลือกสิ่งที่เราทำแล้วรู้สึกสนุก และเบื่อกับมันได้น้อยที่สุด ถ้าเจอแล้วก็เลือกอันนั้นไปเลย เพราะสุดท้ายสิ่งที่ชอบและมีความสุขเราสามารถนำมาสร้างเป็นธุรกิจได้ เพราะการทำงานนั้นคือส่วนหนึ่งของชีวิตคนเรา ถ้าหากเราได้ทำงานที่เราชอบ ได้ทำงานที่ทำแล้วมีความสุข เราก็จะอยู่กับงานงานนั้นไปได้ตลอดทั้งชีวิต ลูกตาลเล่า และจากคำแนะนำของพ่อ ทำให้เธอตัดสินใจเรียนทางด้านดนตรี โดยเลือกเรียนเกี่ยวกับกลอง ซึ่งก่อนที่จะสอบเพื่อเข้าคณะดุริยางคศิลป์ มหาวิทยาลัยมหิดล เธอไปติวเข้มที่โรงเรียนสอนดนตรียามาฮ่ามาก่อน เพื่อเตรียมพื้นฐานให้แน่นขึ้น

กับวง Aliz

 ส่วน “เส้นทางสาวมือกลองคนดังยูทูบ” นั้น ลูกตาลบอกว่า เกิดจากการที่เธอต้องการทบทวนวิชาตีกลองของตัวเอง เพราะเธอกลัวจะลืม ซึ่งเวลาที่ต้องฝึกตีฝึกซ้อม เธอมักจะอัดคลิปวิดีโอของตัวเองเอาไว้ดู ต่อมาเธออยากให้เพื่อน ๆ ได้เห็นลีลาตีกลองด้วย ก็เลยเริ่มนำคลิปไปอัพโหลดลงเพจเฟซบุ๊กของตัวเอง จนตอนที่เรียนอยู่ชั้นปี 1 ตอนนั้นช่องยูทูบเริ่มเป็นเทรนด์ฮิตในวัยรุ่น เธอจึงเปิดช่องยูทูบของตัวเองขึ้นมา พร้อมกับอัพโหลดคลิปตีกลองของตัวเองลงไแรก ๆ ก็ไม่ได้คิดว่าจะทำช่องยูทูบแบบจริงจังอะไร เพลงไหนที่เรียนมาแล้วชอบ เราก็แค่อยากอัดเก็บไว้เท่านั้น ซึ่งช่วงแรกที่อัพคลิปลง แทบไม่มีใครเข้ามาดูก็ว่าได้ จนชีวิตเริ่มเปลี่ยนตอนปี 2 หลังจากได้รู้จักกับพี่ที่เขาทำช่องยูทูบเกี่ยวกับกลองชุด ซึ่งเป็นช่องที่ดังมาก ซึ่งพี่เขาชอบสไตล์การตีกลองเรา จึงชวนให้ไปอัดคลิปทำ Drum Cover ก่อนจะเอาไปโพสต์ลงในช่องของพี่เขา ทำให้เราเป็นที่รู้จักขึ้นเรื่อย ๆ เป็นจุดพลิกผันอีกครั้งของสาวแว่นมือกลองคนนี้

ลูกตาล บอกว่า เพลงที่ทำให้เธอเป็นที่รู้จักเพิ่มขึ้นมีชื่อว่า “กระโดดกอด” โดยเป็นคลิปแรกที่เปิดตัวเธอ ซึ่งตอนนั้นมียอดวิวค่อนข้างดี ทำให้เธอเป็นที่รู้จักมากขึ้น และมีคนมาติดตามผลงานของเธอมากขึ้นเรื่อย ๆ ประกอบกับตอนนั้นเธอมีวงดนตรีเป็นของตัวเองอยู่แล้ว ซึ่งใช้ชื่อวงว่า “โมเลกุล (Molekul)” ซึ่งเธอได้นำเพลงนี้ไปเล่นในงานอีเวนต์งานหนึ่ง และมีคนถ่ายวิดีโอไว้ให้ เธอจึงนำคลิปที่ถ่ายไปโพสต์ลงบนเฟซบุ๊ก ซึ่งคลิปนี้เป็นคลิปแรกของเธอที่มียอดคนกดเข้ามาดูเธอเล่นกลองสูงถึงหลักล้านวิว จนทำให้ชีวิตของเธอตั้งแต่นั้นพลิกผันเปลี่ยนไปเลย

เล่นกับวงที่ถนนข้าวสาร

ชีวิตเปลี่ยนจากตรงนั้นเลย จากที่เฟซบุ๊กมีคนตามแค่ 1,500 คน ปรากฏวันรุ่งขึ้นมีคนติดตามเราเพิ่มขึ้นเป็นหลักหมื่น และในช่องยูทูบก็มีคนติดตามเพิ่มขึ้น จนปัจจุบันเรามีผู้ติดตามมากกว่า 2 ล้านคนแล้ว ลูกตาลบอกเรื่องนี้ พร้อมรอยยิ้มที่ดูมีความสุข ต่อมาหลังจากนั้นเธอก็มีความคิดอยากที่จะเปิดโรงเรียนสอนดนตรี โดยเจ้าตัวเล่าถึงการที่อยากจะเปิดโรงเรียนสอนดนตรีของตัวเองว่า เกิดขึ้นตอนเรียนอยู่ปี 2 เริ่มจากเธออยากมีสตูดิโอ มีห้องอัด Drum Cover ของตัวเองที่บ้าน แต่การทำสตูดิโอต้องใช้เงินทุนเยอะมาก ทำให้ช่วงนั้นเธอจึงต้องทำงานหนักมาก ๆ ทั้งไปสมัครสอนดนตรีและเล่นดนตรีกลางคืน เพื่อค่อย ๆ เก็บหอมรอมริบนำเงินที่ได้จากการทำงานมาซื้ออุปกรณ์และเครื่องดนตรีทีละชิ้นมาเก็บสะสมไว้

นอกจากนั้น เธอยังไปสอบชิงทุนของมหาวิทยาลัย โดยเธอขอกับพ่อว่า หากสอบชิงทุนได้ ขอให้พ่อจ่ายเงินค่าเทอมเหมือนเดิม แต่เงินสอบชิงทุนเธอขอนำไปสร้างห้องอัดเสียงแทน ซึ่งที่สุดเธอก็ทำได้สำเร็จ และเมื่อมีห้องอัดของตัวเอง เธอก็เริ่มลงผลงานในช่องยูทูบของตัวเองมากขึ้น จนเริ่มมีแฟนคลับเข้ามาติดตามเยอะขึ้น พร้อมกับมีคนที่สนใจอยากจะมาเรียนตีกลองกับเธอ ทำให้เธอตัดสินใจเปิดโรงเรียนสอนดนตรีของตัวเองขึ้น โดยมีชื่อโรงเรียนว่า Softwhip Music School ซึ่งลูกตาลนั้นเป็นทั้งคนสอน เป็นทั้งผู้บริหารของโรงเรียนนี้ด้วย นอกจากนั้น เธอยังได้ชวนเพื่อน ๆ กับอาจารย์ให้มาช่วยสอนด้วย

ขณะที่อีกหนึ่ง “ความฝันของลูกตาล” ที่เธอได้ตั้งเป้าหมายชีวิตไว้ก็คือ “การเป็นศิลปิน” ซึ่งความฝันนี้ ในที่สุดเธอก็ทำได้สำเร็จแล้ว โดยปัจจุบันเธอเป็นสมาชิกของ วงดนตรีผู้หญิงล้วน ชื่อ “Aliz” โดยเธอรับหน้าที่ประจำการในฐานะ “มือกลอง” ของทางวง ได้รับการติดต่อมา หลังจากที่เราเริ่มเป็นที่รู้จักและมีชื่อเสียงในยูทูบ ตอนนั้นที่จริงก็มีหลาย ๆ ค่ายเพลงติดต่อมา แต่ที่สุดเราก็เลือกมาเป็นมือกลองของวงนี้ ซึ่งจุดนี้เป็นจุดเริ่มต้นของการเป็นศิลปินของเรา ลูกตาลเล่า

ทั้งนี้ เราถามเธอว่าใครกันที่เป็น “ไอดอล” ในฐานะ “มือกลองในดวงใจ” ที่ทำให้เธอชอบการตีกลอง กับเรื่องนี้เจ้าตัวบอกว่า มือกลองที่เป็นไอดอลและเธอชื่นชอบมาตั้งแต่แรก ๆ นั้น จะมีอยู่ 2 คน โดยคนแรกเป็นมือกลองต่างประเทศคือ “เซ็นริ คาวากูจิ” มือกลองชาวญี่ปุ่น ส่วนมือกลองคนไทยที่ชื่นชอบก็คือ “พี่ชัช บอดี้สแลม” ซึ่งทั้งสองคนนี้เป็นแรงบันดาลใจของลูกตาล โดยเธอบอกว่า ทุกวันนี้รู้สึกดีใจมาก ที่ตัวเธอสามารถขยับเข้าใกล้ไอดอลของตัวเองมากขึ้น เพราะตอนนี้เธอได้รับการติดต่อให้เป็น แบรนด์แอมบาสเดอร์ของยามาฮ่า เหมือนกับมือกลองชาวญี่ปุ่นที่เธอชื่นชอบและยึดถือเป็นไอดอล วันที่ได้เป็นแบรนด์แอมบาสเดอร์ยามาฮ่า ตอนนั้นดีใจจนน้ำตาจะไหล เพราะเราอาจไม่ได้ตีกลองเก่งเท่าไอดอลของเรา แต่เราก็มีโอกาสได้มายืนจุดเดียวกับไอดอลของเรา ลูกตาลเล่าเรื่องนี้ด้วยแววตาเป็นประกาย

ก่อนจบการสนทนากับ ลูกตาล-ชนิษฐา โลจนานนท์ หรือ “Tarn Softwhip” สาวแว่นมือกลองคนดังบอกกับ “ทีมวิถีชีวิต” ว่า “เป้าหมายต่อไป” ที่อยากทำให้เกิดขึ้น คือ ฝันอยากมีแบรนด์ของตัวเอง ทั้งเครื่องดนตรี และเสื้อผ้า ซึ่งยังเป็นเรื่องของอนาคต ที่ถ้ามีโอกาสเธอก็ตั้งใจว่าอยากจะทำให้สำเร็จให้ได้ และกับคำถามที่มีหลายคนถามเธอว่า จะตีกลองไปถึงเมื่อไหร่? ลูกตาลบอกว่า การตีกลองเป็นสิ่งที่เธอชื่นชอบและรักมาก คงขาดกันไม่ได้ ดังนั้นถ้ายังไหวก็จะยังตีกลองต่อไปเรื่อย ๆ โดยเธอพูดติดตลกทิ้งท้ายกับเราเอาไว้ว่า ไม่แน่นะ…ในวันข้างหน้า ในอนาคตข้างหน้า วันหนึ่งคนอาจจะเห็นภาพ…

ยายแก่ ๆ คนหนึ่งนั่งตีกลอง.

ลูกตาลกับ พ่อ แม่ และพี่ชาย

‘Family’ คีย์เวิร์ดชีวิตที่ ‘สำคัญ’

จุดหลักที่ทำให้ประสบความสำเร็จ ค้นพบเป้าหมายชีวิต และมาถึงวันนี้ได้ ก็คือครอบครัว เป็นสิ่งที่ ลูกตาล-ชนิษฐา บอกเราไว้…ถึง “คีย์เวิร์ดชีวิต” ที่นำพาเธอก้าวมาถึงวันนี้ โดยเธอได้รับพลังมากมายจากครอบครัว ทั้งการสนับสนุน ทั้งกำลังใจเวลาที่เธอท้อ ซึ่งครอบครัวสำคัญมากสำหรับตัวเธอ เป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจที่ดี ที่ไม่ว่าระหว่างทางที่เดินไปเธอจะโดนคำดูถูกมากมายแค่ไหน ก็ไม่ทำให้เธอหยุดเดิน นั่นก็เพราะเธอมีครอบครัวคอยหนุนอยู่ ทำให้พร้อมที่จะยืนหยัดต่อสู้กับทุกสิ่งที่เข้ามา อย่างไรก็ตาม แม้จะมี “พลังจากครอบครัว” คอยช่วยแล้ว “ตัวเองก็ต้องมุ่งมั่น-ไม่หยุดฝัน” ด้วย โดยลูกตาลบอกว่า นอกจากครอบครัวแล้ว ตัวเราก็ต้องไม่ยอมแพ้ต่ออุปสรรคด้วย เพราะเส้นทางที่ตามฝันนั้น…ไม่เคยมีเส้นทางที่ราบเรียบ.

บดินทร์ ศักดาเยี่ยงยงค์ : รายงาน