กลายเป็นทอล์กออฟเดอะทาวน์กับเหตุการณ์บ้านจันทร์ส่องหล้า ที่ “เสี่ยหนู”อนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรมว.มหาดไทย หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย จูงมือ “ครูใหญ่” เนวิน ชิดชอบ ผู้นำจิตวิญญาณ ค่ายเซาะกราว เข้าพบ “ทักษิณ ชิวัตร” นายใหญ่บ้านจันทร์ส่องหล้า เพื่อจับเข่าเคลียร์ใจ ประสานรอยร้าว หรือเคลียร์ผลประโยชน์กันอย่างไร ยังไม่มีคำตอบที่ชัดเจน

แต่ที่แน่ๆ “พรรคเพื่อไทย”และ “พรรคภูมิใจไทย” ก็มีเรื่องขบเหลี่ยมปีนเกลียวกัน ตั้งแต่ตั้งรัฐบาลสูตรพิสดาร ที่มีนายเศรษฐา ทวีสิน เป็นนายกรัฐมนตรี ทั้งเรื่องการดึงกัญชาเข้าไปเป็นยาเสพติด การแก้รัฐธรรมนูญรายมาตราที่มีความเห็นไม่ตรงกัน ที่ล่าสุดทั้งสว.และสส.พรรคภูมิใจไทย ได้ขยับเกม “การทำประชามติ” ให้กลับไปใช้หลักการเดิมคือต้องปรับแก้จากใช้เสียงข้างมากธรรมดาเป็นใช้เสียงข้างมาก 2 ชั้น

สถานการณ์พรรคร่วมรัฐบาลตอนนี้เหมือนกับมีโลก 2 ใบ!
ใบแรก คือ “พรรคเพื่อไทย” เป็นแกนนำรัฐบาล มี “นายกฯอิ๊งค์” น.ส.แพทองธาร ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรี โดยมีคุณพ่อทักษิณ ชินวัตร คอยเป็นเงาประกบลูกสาว คอยต้องวางหมากคุมเกม ปั่นแต้มเรียกศรัทธาลากยาวอำนาจ

ใบที่สอง คือ “ค่ายเซาะกราว” ที่มีทั้ง“อนุทิน ชาญวีรกูล” เป็นหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย และ “สว.สีน้ำเงิน” ที่อยู่ในอาณาจักรของ “ครูใหญ่เนวิน ชิดชอบ” และประกาศเตรียมส่ง “เสี่ยหนู” ขึ้นนั่งนายกรัฐมนตรีคนที่ 32 ในงานวันเกิดครบรอบ 66 ปี ที่จัดขึ้น ที่สนามช้างอารีน่า จังหวัดบุรีรัมย์  มีพิธีปะกำช้าง ที่ตระกูลชิดชอบยึดถือสืบทอดมายาวนาน อย่างยิ่งใหญ่

โดยมีคนดังจากหลากหลายวงการ ทั้งรัฐมนตรี นักการเมือง เดินทางมาร่วมแสดงความยินดีเป็นจำนวนมาก นอกจากนี้ยังมีบรรดาข้าราชการในคาถาของพรรคภูมิใจไทยมาร่วมงานกันอย่างคึกคัก  อีกทั้งยังได้มีบุคคลที่ส่อแววเข้าไปชิงเก้าอี้องค์กรอิสระ ที่สว.ค่ายสีน้ำเงิน จะต้องเป็นผู้สรรหาก็ได้มาปรากฏตัวให้เห็นด้วย

เรียกได้ว่ามีสายสัมพันธ์แนบแน่น คอนเน็คชันแน่นปึก พร้อมกับคุมเสียงสว.และเป็นแกนนำอันดับ 2 ของรัฐบาล “แพทองธาร” จึงทำให้ “เนวิน” ผงาดขึ้นเป็นคู่ชกต่อรองเกมอำนาจกับนายใหญ่ได้ คำว่า “นาย”ของเนวินไม่มีอีกต่อไปแล้ว มีเพียง “ครูใหญ่เนวิน” เท่านั้น

จับอาการได้จากการที่ “อนุทิน” ออกมายอมรับการนัดพบระหว่าง “เนวิน-ทักษิณ” เพราะ “ทักษิณ” อยากพบเพื่ออวยพรวันเกิดให้ “เนวิน” ต้องการ “เบิร์ธ์เดย์บอย” เรื่องที่บอกว่า โกรธกัน “มันจบแล้วครับนาย” ใครก็ไม่รู้ไปพูด ผมอยู่มาตั้ง 10 กว่าปีไม่เคยได้ยินคำนี้  ไกลเกินไป กล้าพูดหรือ ถามจริงกับคนที่เป็นเจ้านายเรา มันจบแล้วครับนาย มันไม่มีหรอก” ส่วนเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญที่“อนุทิน” ชี้เป็นเรื่องของ “ครม.กับสภา” ทำให้เห็นว่าทั้ง 2 พรรค มีความเห็นที่ยังไม่ตรงกันในหลายๆเรื่องและภูมิใจไทยยังเดินเกมเหนือกว่า

จนมีสัญญาถอยจากบ้านจันทร์ส่องหล้าที่พรรคเพื่อไทยอาจยอมตามแนวทางประชามติเสียงข้างมาก 2 ชั้น ของ สว.

งานนี้ทำให้ภาพการเมืองเกมเหนือชั้นที่ของ “ครูใหญ่เนวิน” คุมเกมอยู่ และยังทำให้เห็นว่าการร่วมรัฐบาลหลังจากนี้ ทั้งพรรคเพื่อไทย และพรรคภูมิใจไทย มีความระแวงซึ่งกันและกัน

แต่ที่แน่ๆไฟท์บังคับ “รัฐบาลแพทองธาร” ตอนนี้ตกอยู่ในวงล้อมนิติสงคราม คือ ต้องสู้กับนิติสงคราม จากพลพรรค “พลังป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ แห่งบ้านป่ารอยต่อ ที่ปล่อยให้นักร้องทำงาน ออกมาหว่านแห ยื่นสารพัดเรื่องไปยังองค์กรอิสระให้พิจารณาทำหน้าที่สอย “นายกฯอิ๊งค์” 

ล่าสุด “ธีรยุทธ สุวรรณเกสร” ผู้ร้องในฐานะประชาชน หอบหลักฐานเอกสารทั้งสิ้น 5,080 แผ่น ยื่นคำร้องขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยสั่งการให้นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี และพรรคเพื่อไทย หยุดติการกระทำในการใช้สิทธิ ที่เป็นการเซาะกร่อนบ่อนทำลายพระมหากษัตริย์ ใน 6 กรณี ประกอบด้วย

1.กรณี ได้รับพระราชทานลดโทษเหลือจำคุก 1 ปี แต่กลับสั่งการพรรคเพื่อไทยใช้อำนาจผ่านกรมราชทัณฑ์ โรงพยาบาลตำรวจเอื้อประโยชน์ให้อยู่ห้องพักชั้น 14 ไม่ต้องรับโทษในเรือนจำแม้แต่วันเดียว ฝ่าฝืนพระบรมราชโองการ ระคายเคืองเบื้องพระยุคลบาท หมิ่นพระบรมเดชานุภาพ

2 .กรณี ฝักใฝ่คบหาร่วมคิดกับสมเด็จฯฮุน เซน ผู้นำทางการเมืองของกัมพูชา มีพฤติการณ์เป็นเจ้าของ ผู้ครอบครอง ผู้ครอบงำ และใช้พรรคเพื่อไทยเป็นเครื่องมือควบคุมสั่งการรัฐบาลให้เอื้อประโยชน์กับสมเด็จฯฮุน เซน ให้ประเทศกัมพูชาละเมิดอธิปไตยทางทะเลของไทยในการการเจรจาพื้นที่ทับซ้อนทางทะเล (MOU 2544)

3. กรณี สั่งการพรรคเพื่อไทยร่วมมือกับพรรคประชาชน (พรรคก้าวไกลเดิม) เสนอแก้ไขรัฐธรรมนูญ เพื่อเอื้อประโยชน์ต่อนายทักษิณ และพวก

4. กรณี ครอบงำและสั่งการพรรคเพื่อไทยในการเจรจากับแกนนำพรรคการเมืองอื่นที่ร่วมรัฐบาลนายเศรษฐา ทวีสิน อดีตนายกฯ เพื่อเสนอชื่อนายกฯคนใหม่แทนนายเศรษฐาที่บ้านจันทร์ส่องหล้า เมื่อเย็นวันที่ 14 ส.ค.67

5. กรณีสั่งการพรรคเพื่อไทยขับพรรคพลังประชารัฐออกจากพรรคร่วมรัฐบาล

6.  กรณี สั่งการให้พรรคเพื่อไทยนำเรื่องที่นายทักษิณที่แสดงวิสัยทัศน์ไว้ไปเป็นนโยบายคณะรัฐมนตรีที่แถลงต่อรัฐสภาในวันที่ 12 ก.ย.67

ซึ่งคำร้องที่ “ทักษิณ-พรรคเพื่อไทย” โดนครั้งนี้ดูเหมือนจะหนักหน่วงเพราะชี้ว่า เป็นการกระทำที่อาจนำไปสู่การล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขในที่สุด

คำร้องนี้คนของ “พรรคเพื่อไทย” ได้ออกมาหลุดขำ ว่าคำร้องจะแบบนี้จะมายุบพรรคเพื่อไทยได้อย่างไร

ขณะที่หลายฝ่ายเป็นห่วงเกรงว่า “นายกฯอิ๊งค์” จะรอดฝ่าค่ายกล “นิติสงคราม” ครั้งนี้ออกมาได้หรือไม่ จึงทำให้เกิดกระแส “นายกฯคนละครึ่ง” โผล่ขึ้นมาท้าลมร้อนการเมือง 

แม้หลายฝ่ายจะมาปฏิเสธแต่การเมืองอะไรก็เกิดขึ้นได้ เพราะปัญหาตอนนี้ผุดขึ้นมาเป็นดอกเห็ด ทั้งในเรื่องศรัทธาตัวนายกรัฐมนตรี ที่ถูกมองว่าวุฒิภาวะยังไม่ถึงขั้นเป็นผู้นำประเทศ ไม่ว่าจะพูดอะไรก็ถูกจับผิดไปหมด นอกจากนี้ยังมีเรื่องของจริยธรรมที่ถูกร้องอยู่

อีกทั้งยังมีประเด็นร้อนกรณีพล.อ.พิศาล วัฒนวงษ์คีรี อดีตแม่ทัพภาค 4 ซึ่งปัจจุบันเป็นสส.บัญชีรายชื่อของพรรคเพื่อไทย ถูกฟ้องตกเป็นจำเลยใน “คดีตากใบ” ที่คดีจะหมดอายุความ 20ปี ใน วันที่ 25 ตุลาคม 2567 จะเป็นชนวนจุดไฟใต้ให้ลุกโชนลุกขึ้นมาอีกระลอกหรือไม่

และที่สำคัญยังมีปัญหา ปากท้อง วิกฤติเศรษฐกิจ อาจเป็นชนวน จุดติดในการเรียกม็อบลงถนนที่มี “สนธิ ลิ้มทองกุล” ศัตรูเก่าคุณพ่อทักษิณ และ จตุพร พรหมพันธุ์ คนคุ้นเคยของพรรคเพื่อไทย คอยสุมไฟอยู่

แม้ “นายกฯอิ๊งค์” จะปรับทัพเสริมเกม ตั้ง “เต้น” ณัฐวุฒิ ไสยเกื้อ ขึ้นมาเป็นที่ปรึกษาของนายกรัฐมนตรี มาเพื่อรับม็อบ แต่เป็นการผลัก “เต้น” ให้อออกมาเจอสหบาทา

ต้องดูว่า “นายกฯอิ๊งค์” จะฝ่าวงล้อมหาช่องลอดจาก“นิติสงคราม”ครั้งนี้ไปได้อย่างไร !.