รู้กันหรือไม่ว่า? ในวันที่ 2 กุมภาพันธ์ของทุกปี ถือเป็น “วันพื้นที่ชุ่มน้ำโลก” (World Wetlands Day) ซึ่งจัดขึ้นเพื่อเฉลิมฉลองและรำลึกถึงวันที่มีการลงนามอนุสัญญาว่าด้วยพื้นที่ชุ่มน้ำที่มีความสำคัญระหว่างประเทศ หรืออนุสัญญาแรมซาร์ (Ramsar Convention) ที่ตั้งตามชื่อสถานที่จัดประชุมเพื่อรับรองอนุสัญญา ณ เมืองแรมซาร์ ประเทศอิหร่าน เมื่อวันที่ 2 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2514
พื้นที่ชุ่มน้ำ (Wetlands) คือ ที่ลุ่ม ที่ราบลุ่ม ที่ชื้นแฉะ พรุ แหล่งน้ำ ทั้งที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติและที่มนุษย์สร้างขึ้น ทั้งที่มีน้ำขังหรือน้ำท่วมอยู่ถาวรและชั่วครั้งชั่วคราว ทั้งที่เป็นแหล่งน้ำนิ่งและน้ำไหล ทั้งที่เป็นน้ำจืด น้ำกร่อย และน้ำเค็ม รวมไปถึงชายฝั่งทะเลและที่ในทะเลในบริเวณซึ่งเมื่อน้ำลดลงต่ำสุด มีความลึกของระดับน้ำไม่เกิน 6 เมตร
บทบาทของพื้นที่ชุ่มน้ำ
พื้นที่ชุ่มน้ำ ทั้งที่เป็นแหล่งน้ำจืดและน้ำเค็ม ช่วยค้ำจุนธรรมชาติและมนุษยชาติ รวมถึงสนับสนุนการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม โดยการให้บริการที่หลากหลาย ประกอบด้วย
1. เป็นแหล่งเก็บกักและผลิตน้ำสะอาด
- พื้นที่ชุ่มน้ำเป็นแหล่งผลิตน้ำจืดส่วนใหญ่ของโลก
- พื้นที่ชุ่มน้ำช่วยกรองมลพิษตามธรรมชาติ และให้น้ำสะอาดที่ดื่มได้อย่างปลอดภัย
2. เป็นแหล่งผลิตอาหาร
- เกษตรกรรมเป็นภาคการผลิตอาหารที่กำลังเติบโตสูงสุด รวมถึงประมงน้ำจืดซึ่งสามารถผลิตปลาได้ถึง 12 ล้านตัน ในปี 2561
- ในแต่ละปี นาข้าวสามารถเลี้ยงประชากรโลกได้ถึง 3,500 ล้านคน
3. หนุนเศรษฐกิจโลก
- พื้นที่ชุ่มน้ำซึ่งเป็นระบบนิเวศที่มีมูลค่ามากที่สุด ให้การบริการเป็นมูลค่าถึง 1,400 ล้านล้านบาทต่อปี
- ประชากรกว่า 1,000 ล้านคนพึ่งพิงพื้นที่ชุ่มน้ำในการหารายได้
4. เป็นแหล่งที่อยู่อาศัย
- ร้อยละ 40 ของสายพันธุ์ของโลกอาศัยอยู่และขยายพันธุ์ในพื้นที่ชุ่มน้ำในแต่ละปี ปลาสายพันธุ์ใหม่ราว 200 ชนิด ถูกค้นพบในพื้นที่ชุ่มน้ำที่เป็นน้ำจืด
- แนวปะการังเป็นที่อยู่อาศัยของสายพันธุ์ต่างๆ ถึงร้อยละ 25
5. ให้ความปลอดภัย
- พื้นที่ชุ่มน้ำทำหน้าที่ป้องกันน้ำท่วมและพายุฝน ซึ่งพื้นที่แต่ละไร่สามารถดูดซับน้ำท่วมได้ถึง 2.5 ล้านลิตร
- พื้นที่ชุ่มน้ำช่วยควบคุมสภาพภูมิอากาศ โดยป่าพรุสามารถเก็บกักคาร์บอนได้เป็นสองเท่าของป่าไม้โลก หนองน้ำเค็ม ป่าโกงกาง และแหล่งหญ้าทะเลก็ช่วยยึดเกาะคาร์บอนได้ปริมาณมหาศาล
แนวทางในการแก้ไขปัญหาการขาดแคลนน้ำสำหรับมนุษย์และธรรมชาติ ได้แก่
- หยุดทำลายและเริ่มฟื้นฟูพื้นที่ชุ่มน้ำ
- ไม่สร้างเขื่อนกั้นแม่น้ำหรือสูบน้ำใต้ดินมากเกินขอบเขต
- จัดการกับมลภาวะและทำความสะอาดแหล่งน้ำจืด
- เพิ่มประสิทธิภาพการใช้น้ำ และใช้ประโยชน์พื้นที่ชุ่มน้ำอย่างชาญฉลาด
- บูรณาการน้ำและพื้นที่ชุ่มน้ำไว้ในแผนพัฒนาและการบริหารจัดการทรัพยากรธรรมชาติ
อนุสัญญาว่าด้วยพื้นที่ชุ่มน้ำ เป็นข้อตกลงระหว่างประเทศเพื่อการอนุรักษ์แหล่งที่อยู่อาศัยที่เป็นพื้นที่ชุ่มน้ำ ป้องกันและยับยั้งการสูญเสียของพื้นที่ชุ่มน้ำทั่วโลก รวมทั้งกำหนดแผนการจัดการระดับชาติในการใช้ประโยชน์พื้นที่ชุ่มน้ำอย่างชาญฉลาด ทุกประเทศที่เข้าร่วมอนุสัญญา จะต้องคัดเลือกพื้นที่ชุ่มน้ำที่มีความสำคัญระดับชาติหรือระหว่างประเทศ (Ramsar Sites) อย่างน้อย 1 แห่ง เพื่อบรรจุใน “ทะเบียนรายชื่อพื้นที่ชุ่มน้ำที่มีความสำคัญระหว่างประเทศ”
ประเทศไทย เข้าเป็นภาคีอนุสัญญาว่าด้วยพื้นที่ชุ่มน้ำ ลำดับที่ 110 เมื่อวันที่ 13 พฤษภาคม พ.ศ. 2541 โดยได้เสนอ “พรุควนขี้เสี้ยน” ในเขตห้ามล่าสัตว์ป่าทะเลน้อย จังหวัดพัทลุง ขึ้นทะเบียนเป็นพื้นที่ชุ่มน้ำที่มีความสำคัญระหว่างประเทศแห่งแรกของประเทศไทย และลำดับที่ 948 ของโลก
ปัจจุบันประเทศไทยมีพื้นที่ชุ่มน้ำ ที่ได้ขึ้นทะเบียนเป็นแรมซาร์ไซต์ (Ramsar Site) ดังนี้
- พรุควนขี้เสี้ยน ในเขตห้ามล่าสัตว์ป่าทะเลน้อย จ.พัทลุง
- เขตห้ามล่าสัตว์ป่าบึงโขงหลง จ.บึงกาฬ
- ดอนหอยหลอด จ.สมุทรสงคราม
- ปากแม่น้ำกระบี่ จ.กระบี่
- เขตห้ามล่าสัตว์ป่าหนองบงคาย จ.เชียงราย
- เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระเทพฯ (พรุโต๊ะแดง) จ.นราธิวาส
- อุทยานแห่งชาติหาดเจ้าไหม-หมู่เกาะลิบง-ปากน้ำตรัง จ.ตรัง
- อุทยานแห่งชาติแหลมสน-ปากแม่น้ำกระบุรี-ปากคลองกะเปอร์ จ.ระนอง
- อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะอ่างทอง จ.สุราษฎร์ธานี
- อุทยานแห่งชาติอ่าวพังงา จ.พังงา
- อุทยานแห่งชาติเขาสามร้อยยอด จ.ประจวบคีรีขันธ์
- พื้นที่ชุ่มน้ำกุดทิง จ.บึงกาฬ
- เกาะกระ จ.นครศรีธรรมราช
- เกาะระ เกาะพระทอง จ.พังงา
ขอบคุณภาพประกอบ : Pixabay