สิ่งแรกที่ทุกคนจะคิดถึงเมื่อเราพูดชื่อประเทศนี้ นั่นก็คือ ดอกไม้ สะท้อนว่า…Branding เรื่องนี้ของเขานั้นมันแข็งแรงมาก ๆ แม้เขาจะทำเรื่องนี้มาเป็น 100 กว่าปีแล้ว แต่เขาก็ยังทำอยู่ ซึ่งเรื่องนี้เป็นสิ่งที่น่าถอดรหัสมาก“ …เป็นเสียงสะท้อนของ “ปุ้ย-ณวิสาร์ มูลทา” เจ้าของ I Love Flower Farm ผู้ประกอบการคนรุ่นใหม่ที่ทำธุรกิจสวนดอกไม้เพื่อการท่องเที่ยวในพื้นที่ จ.เชียงใหม่ หนึ่งใน “เกษตรกรหัวขบวน ธ.ก.ส.” ที่ได้ระบุถึงจุดเด่นของประเทศเนเธอร์แลนด์ ที่กลายมาเป็นจุดแข็งและจุดขายของประเทศนี้ จนทำให้ “เนเธอร์แลนด์“ กลายเป็น “มหาอำนาจโลกด้านการเกษตร“ ในวันนี้…

เป็นเบอร์ต้น ๆ ที่ทั่วโลกต้องนึกถึง
“ดอกไม้“ ถือเป็น เบอร์ 1 ของโลก“

ทั้งนี้ ในฐานะที่เป็นผู้ที่คลุกคลีอยู่กับสินค้าเกษตรอย่าง “ดอกไม้” และยังทำสวนดอกไม้เพื่อการท่องเที่ยวอีกด้วย “ทีมสกู๊ปเดลินิวส์” จึงขอให้ ปุ้ย-ณวิสาร์ ช่วย “ถอดรหัสความสำเร็จของเนเธอร์แลนด์” โดยเฉพาะหลังจากคณะผู้บริหาร ธ.ก.ส. และ
เหล่า เกษตรกรหัวขบวน จากไทย ได้มีโอกาสไปศึกษาดูงานที่ “Keukenhof Garden“ซึ่งเป็นสวนดอกไม้ที่เป็น “แหล่งท่องเที่ยวมีชื่อเสียง” ไม่เฉพาะแค่คนเนเธอร์แลนด์เท่านั้น แต่โด่งดังไปทั่วยุโรปและทั่วโลกด้วย ส่งผลให้ในแต่ละปี โดยเฉพาะช่วงฤดูใบไม้ผลิที่สวนแห่งนี้จัดเทศกาลชมดอกไม้ขึ้น จึงมีนักท่องเที่ยวทั่วโลกหลั่งไหลมาที่สวนแห่งนี้เนืองแน่น…

แค่ 8 สัปดาห์ได้ค่าตั๋วหลักสิบล้านยูโร
นี่น่าสนใจ ไทยน่าใช้เป็นกรณีศึกษา“

เกี่ยวกับ Keukenhof Garden หรือ “สวนเคอเคนฮอฟ“ นั้น…เว็บไซต์ทางการของสวนแห่งนี้ได้แจกแจงข้อมูลประวัติความเป็นมาของสวนไว้ โดยสรุปดังนี้คือ… พื้นที่เดิมของสวนเคอเคนฮอฟ เดิมทีเคยเป็นที่ตั้งของคฤหาสน์ของ Countess Van Beieren แต่ต่อมาได้ถูกโอนเข้าสู่มือเอกชนในภายหลัง ต่อมาในปี ค.ศ. 1857 ผู้ครอบครองพื้นที่ได้ว่าจ้างให้สถาปนิกออกแบบสวนในพื้นที่นี้ เพื่อให้เป็นพื้นที่จัดแสดงดอกไม้ และหลังจากเปิดให้คนเข้าชมสวนก็มีกระแสตอบรับดีมาก จากคนเนเธอร์แลนด์ และคนประเทศอื่นในทวีปยุโรป กระแสตอบรับนั้นดีต่อเนื่องเรื่อยมา จนปัจจุบันได้กลายเป็นสวนดอกไม้ระดับโลก“

นอกจากที่มาที่ไปแล้ว ข้อมูลจำเพาะของสวนแห่งนี้ก็น่าสนใจ โดย สวนเคอเคนฮอฟเป็น 1 ในสวนดอกไม้ที่ใหญ่ที่สุดในโลก ด้วยมีขนาดพื้นที่มากกว่า 200 ไร่ ซึ่งในช่วงฤดูใบไม้ผลิ หรือราวปลายเดือน มี.ค.-พ.ค. ของทุกปี ทางสวนจะมีการจัดเทศกาลชมดอกไม้ขึ้น โดยภายในสวนจะจัดแสดงดอกทิวลิปไว้มากกว่า 800 สายพันธุ์ หรือมีจำนวนมากกว่า 7 ล้านดอก ที่แต่ละสายพันธุ์ก็จะมีเอกลักษณ์
และสีสันเฉพาะตัว และนอกจากทิวลิปที่เป็นดอกไม้ชูโรงแล้ว ยังมี
ดอกไม้ชนิดอื่น ๆ เช่น ลิลลี่ แดฟโฟดิล ไฮยาซินธ์ ซากุระ และกล้วยไม้หลากหลายสายพันธุ์ นำมาจัดแสดงร่วมกันอีกด้วย ด้วยเหตุนี้จึงไม่น่าแปลกใจที่ “ตัวเลขผู้เข้าชม” เมื่อปี ค.ศ. 2023 มียอดนักท่องเที่ยวสูงถึง 1,400,000 คน!!!ในเวลาแค่ 8 สัปดาห์ ที่จัดเทศกาลนี้ขึ้น

เป็นความ “น่าทึ่ง” สวนดอกไม้แห่งนี้

สำหรับ “ความสำเร็จที่น่าทึ่ง” ของ สวนเคอเคนฮอฟ นั้น เรื่องนี้ ปุ้ยณวิสาร์ วิเคราะห์ และสะท้อนให้ “ทีมสกู๊ปเดลินิวส์” ฟัง โดยบอกว่า…ตอนที่ทราบว่าทาง “ธ...” เลือกเธอเป็นหนึ่งใน “เกษตรกรหัวขบวน” จากไทย ที่ได้ดูงานที่เนเธอร์แลนด์ เธอรู้สึกดีใจมากเนื่องจากตรงกับสายธุรกิจที่ทำอยู่ อีกทั้งเฟิร์สออฟไลน์อย่างแรกเมื่อพูดถึงที่นี่ก็คือ ดอกไม้ ดังนั้นการได้เห็นของจริงจึงเป็นประสบการณ์ที่ดี ส่วนมุมมองต่อความสำเร็จของสวนเคอเคนฮอฟที่ได้ดูงานนั้น เธอกล่าวว่า… ส่วนตัวมองว่าไม่ได้เกิดจากปัจจัยใดปัจจัยหนึ่ง แต่เกิดจาก “ระบบเกษตรของเนเธอร์แลนด์” ที่ทำให้ประสบความสำเร็จ

“เรามองว่าเขามีแค่ 3 สิ่งเองนะที่ขาย หนึ่งคือกังหันลม สองคือรองเท้าไม้ สามคือดอกไม้ แต่พอเขาทำจริงจัง พอทำไปด้วยกันทั้งแพลตฟอร์ม และทำซ้ำ ๆ ย้ำ ๆ มันก็เลยเกิดเป็นแบรนดิ้งที่แข็งแรงขึ้นมา อย่างดอกไม้ ดอกทิวลิป เขาก็ทำมาเป็นร้อยกว่าปีแล้ว แต่ก็ยังทำอยู่ ตรงนี้ปุ้ยมองว่าเป็นจุดแข็งของเขาเลย“

ส่วนอีกเรื่องที่ผู้ประกอบการเกษตรไทยรายนี้มองเห็นเป็น “จุดแข็ง” ของที่นี่ก็คือ การ “ใช้นวัตกรรมและเทคโนโลยีเป็นรากฐาน” ที่ทำให้ระบบเกษตรเนเธอร์แลนด์แข็งแรงจนกลายเป็นมหาอำนาจในเรื่องนี้ ขณะที่อีกสิ่งที่มีส่วนส่งเสริมคือ การ “สร้างตัวตนที่ชัดเจน” ทำให้เมื่อพูดถึงประเทศนี้ แน่นอนทุกคนย่อมคิดถึง “ซอฟต์พาวเวอร์ 3 สิ่ง” ได้แก่ ดอกไม้ กังหันลม รองเท้า และสิ่งที่เกษตรกรไทยน่าจะ “ถอดรหัส” ต่อก็คือ… วันนี้เนเธอร์แลนด์ไม่มาพูดถึงเรื่องคุณภาพแล้ว เพราะไปไกลและทั่วโลกยอมรับแล้ว แต่สิ่งที่เกษตรกรเนเธอร์แลนด์จะคิดถึงมากที่สุดวันนี้คือ การสร้างความเชื่อมั่นการสร้างความไว้ใจ

“เขาเลยจุดที่จะมาวัดพืชผลการเกษตรเหมือนบ้านเราแล้วว่าอันไหนเกรด A B C แต่เขาเน้นความน่าเชื่อถือ ซึ่งระบบเกษตรของเขาใช้ Big Data ได้มีประสิทธิภาพมาก ทำให้เวลาคิดทำอะไร จึงครบหมดทั้งโซลูชัน ทำให้อุตสาหกรรมเกษตรของเขายั่งยืน ไม่เชื่อดูแค่เรื่องทิวลิป เขาทำมา 100 ปีแล้ว ก็ยังไม่มีใครโค่นได้“…เป็นการถอดรหัส ผ่านการหนุนโดย “ธ.ก.ส.” ผ่านมุมมอง ปุ้ย-ณวิสาร์หนึ่งใน “เกษตรกรหัวขบวน” จาก “กรณีศึกษาสวนเคอเคนฮอฟ”

ฉายภาพ ความสำเร็จดินแดนกังหัน“
ที่เป็น มหาอำนาจโลกสินค้าเกษตร“
มีแง่มุมที่ ไทยน่าใช้เป็นกรณีศึกษา“