โดยผู้เสียหายที่เป็นเหยื่อบางรายได้แฉว่ามีการ “หลอกให้เหยื่อมีเพศสัมพันธ์ด้วย!!” นัยว่าเป็นส่วนหนึ่งของพิธีกรรม จนเหยื่อตั้งท้อง…ก่อนจะบังคับให้เหยื่อกินยาทำแท้ง!! และที่ซ้ำร้าย…กับเหยื่อส่วนหนึ่งนอกจากเสียตัวแล้วยังถูก “หลอกลวงเอาเงินจำนวนมาก” มูลค่าความเสียหายรวมแล้วสูงหลักสิบล้านบาท โดยกรณี “มิจฉาชีพในคราบหมอดู” นี้…

ในไทยยุคนี้หวนกลับมา “โผล่พรึ่บ!!”

“แข่งกับร่างทรงองค์ลวง” ที่ก็มีมาก…

อนึ่ง ก่อนจะดูกันถึงกรณี “หมอดูเก๊-หมอดูลวง” ที่ในไทยยุคนี้หวนกลับมามีกรณีฉาว ๆ จากมิจฉาชีพแนวนี้เพิ่มขึ้นแบบต่อเนื่อง… ย้อนดูกรณี “ร่างทรงเก๊-ร่างทรงลวง” กันหน่อย…ซึ่งกรณีนี้ “ทีมสกู๊ปเดลินิวส์” ก็เคยสะท้อนไว้…เพื่อเตือนว่าเรื่องแบบนี้… “เชื่อได้…แต่ต้องไม่งมงาย!!” ไม่เช่นนั้นอาจจะเสี่ยงติดกับดัก “มิจฉาชีพในคราบร่างทรง” ซึ่งนับแต่อดีตก็มีคดีและมีเหยื่ออย่างต่อเนื่อง โดยนับตั้งแต่วิกฤติโควิด-19 ค่อย ๆ เบาบางลงก็มีกรณีเกิดขึ้นมาก มีทั้ง “ร่างทรงลวงเหยื่อสาวทำอนาจาร” “ร่างทรงลวงเหยื่อให้สูญเงินจำนวนมาก” ซึ่งแค่ช่วงหลัง ๆ มานี้ก็มีผู้เสียหายและมูลค่าความเสียหายไม่น้อย…

“ร่างทรงลวง” ก็ “พอ ๆ กับหมอดูลวง”

พลิกย้อนดูกันในภาพรวม ๆ เกี่ยวกับร่างทรง ในทางวิชาการก็ได้ให้ความสนใจ โดยมีการระบุไว้ว่า “ร่างทรง” “ลัทธิพิธีทรงเจ้าเข้าผี” ถือว่าเป็นอีก “ปรากฏการณ์สำคัญของความเชื่อในสังคมไทย” ซึ่งหนึ่งในงานวิชาการที่ได้ศึกษาเรื่องนี้ก็อย่างการศึกษาวิจัยไว้ตั้งแต่ปี 2538 โดย สุริยา สมุทคุปติ์ และคณะ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี ซึ่งได้มีการศึกษาเรื่องนี้อย่างจริงจัง โดยมีการเก็บข้อมูลจาก “ร่างทรง” ในหลาย ๆ พื้นที่ เช่น นครราชสีมา บุรีรัมย์ สระบุรี นครสวรรค์ รวมถึงพื้นที่กรุงเทพฯ โดยงานวิจัยชิ้นนี้สะท้อนไว้ว่า…การทรงเจ้าเข้าผีเป็นสิ่งที่มีอยู่แล้วในวัฒนธรรมไทยดั้งเดิม แต่หลัง ๆ มีการปรับ…

เปลี่ยนและนำเสนอความหมายใหม่

ให้สอดคล้องวิถีผู้คนและสังคมเมือง

ในรายงานการศึกษาวิจัยสะท้อนไว้ว่า… “พิธีทรงเจ้าเข้าผี” นั้น ในยุคปัจจุบันไม่เพียงในชนบทที่มีอยู่ทั่วไป หากแต่ ในสังคมเมืองก็มีความเชื่อเรื่องนี้แพร่หลายมาก!! โดยเฉพาะใน “ยุคสังคมโดดเดี่ยว” เช่นยุคนี้…ที่ก็ยิ่งเป็นปัจจัยส่วนเสริมทำให้ “ความเชื่อเรื่องเข้าทรง” ไม่เพียงได้รับความนิยม ยังแพร่หลายทุกวงการด้วย โดยร่างทรงทำหน้าที่เป็น “สะพานเชื่อมโลกกับสิ่งที่มองไม่เห็น??” …นี่ถือเป็น “ปรากฏการณ์ทางวัฒนธรรมรูปแบบหนึ่งที่อยู่คู่สังคมไทย” มายาวนาน

และเรื่อง “ทรง” นี่ยังมีการระบุไว้ว่า… ใครเชื่อแล้วช่วยให้มีความหวัง โดยไม่เสียหายอะไร ก็ดีไป แต่ก็ต้อง “ระวังเชื่อแล้วกลายเป็นยิ่งสิ้นหวัง” จาก “พิษลวง” จาก “องค์ลวง” จากผู้ที่ “จ้องใช้ความเชื่อผู้อื่นหลอกลวงหาประโยชน์ใส่ตัว”

ทั้งนี้ จาก “ร่างทรงองค์ลวง” มาดูกันถึง “หมอดูเก๊-หมอดูหลอกลวง” ที่ยุคนี้ดูจะ “แข่งกันตุ๋นเหยื่อ” อย่างแข็งขัน!! โดยหลัง ๆ มานี้หวนกับมามีเหยื่อเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง… ซึ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้ก็มีแง่มุมจากทาง อ.ภิญโญ พงศ์เจริญ นายกสมาคมโหราศาสตร์นานาชาติ ที่ระบุผ่าน “ทีมสกู๊ปเดลินิวส์” มาว่า… คนที่อวดอ้างเป็นนักพยากรณ์ นักโหราศาสตร์ หมอดูแล้วสร้างความเสียหายนั้น ขณะนี้มีเยอะแยะมากขึ้นเรื่อย ๆ มีทั้งที่เป็นข่าวและไม่เป็นข่าว ซึ่งทำให้วงการเสียหายอย่างมาก…

ทาง อ.ภิญโญ ระบุว่า… “โหราศาสตร์” เป็นวิชา และเป็นวิชาที่เกิดขึ้น “เพื่อประโยชน์ของสังคม” เพื่อให้สังคมเดินไปได้ด้วยดี เป็นศาสตร์วิชาเพื่อนำมาใช้เตือนภัย ให้คำปรึกษา หรือเพื่อให้สังคมอยู่เย็นเป็นสุข ดังนั้น คนที่จะประกอบอาชีพนี้ให้เป็นไปในทางที่ดีต้องมีคุณสมบัติที่ดี เช่น พื้นฐานจิตใจต้องดี คือเป็นผู้ที่เห็นแก่สังคม เป็นคนที่มองเห็นประโยชน์ส่วนรวมเป็นที่ตั้ง โดยเมื่อเป็นคนที่ดี เมื่อเรียนวิชาโหราศาสตร์แล้วก็จะนำวิชาไปใช้ในทางที่ดีงาม และอีกหนึ่งประการสำคัญคือต้องมีมาตรฐานอาชีพ หรือ “ต้องมีจรรยาบรรณ” เพื่อ ป้องกันไม่ให้เกิดการนำศาสตร์วิชานี้ไปใช้ในทางที่เสียหาย เสื่อมเสีย

“แต่ยุคนี้มีคนที่แอบอ้างเป็นหมอดูเยอะมากจนน่าตกใจ ซึ่งบางคนจู่ ๆ ก็มาสถาปนาตัวเองเป็นหมอดู เป็นนักพยากรณ์ หรือตั้งตัวเป็นโหราจารย์เอง โดยไม่มีองค์กรควบคุมดูแล และก็ตามมาด้วยปัญหาที่พบบ่อย ๆ จากคนที่ไร้จรรยาบรรณ ก็คือมักฉวยโอกาสกับคนที่กำลังทุกข์ ทำนายให้เกิดความกลัว แล้วก็แสวงหาประโยชน์ ซึ่ง…

ผิดทั้งในแง่ศีลธรรม และแง่กฎหมาย”

แล้วจะควบคุมหรือป้องปรามได้ไหม??… กับคำถามนี้ทางนายกสมาคมโหราศาสตร์นานาชาติระบุว่า… ตอนนี้ก็จะมีแค่การควบคุมกันอย่างหลวม ๆ ซึ่ง ถ้ามีสถานะเป็นสมาชิกสมาคมที่มีการรับรองตามกฎหมาย ก็จะมีการตักเตือน หรือลบชื่อออกจากสมาคมถ้าพบว่านำโหราศาสตร์ไปใช้ในทางที่ผิด ๆ แต่ก็ต้องยอมรับว่า… ไทยยังไม่ได้มีถึงขั้นยื่นเรื่องถอดถอนใบอนุญาต หรือห้ามประกอบอาชีพหมอดูอีกต่อไป เพราะเวลานี้ก็ยังไม่มีหน่วยงานใดที่ดูแลควบคุมเรื่องนี้ได้โดยตรง!!…

เหล่านี้ก็เป็นปรากฏการณ์สังคมยุคนี้

โฟกัสที่ “หมอดูเก๊-หมอดูลวง” ที่อื้ออึง

ที่ “ยุคโดดเดี่ยว” ยุคนี้ “เหยื่อยิ่งอื้อ!!”.