ก้าวเข้าสู่วงการบันเทิงจากการประกวด “Thai Supermodel” ปี 2020  มาในวันนี้ กานต์-ณัฐชา รัตน์ชยางคานนท์ ได้กลายเป็นอีกหนึ่งนางเอกที่น่าจับตาของช่อง 7 HD โดยเจ้าตัวมีผลงานอย่างต่อเนื่อง พร้อมโชว์ฝีมือการแสดงที่ได้รับการยอมรับจากแฟน ๆ มากขึ้นเรื่อย ๆ วันนี้ “ดาวต่างมุม” มีโอกาสได้จับเข่าพูดคุยกับกานต์ทั้งผลงานล่าสุด “มนตราตะเกียงแก้ว” ภาคต่อละครขึ้นหิ้งแห่งจักรวาลแม่มดในตะเกียงแก้ว รวมทั้งยังเปิดเส้นทางในวงการ การก้าวข้ามวันที่ท้อด้วยความคิดไม่หยุดพัฒนาตัวเอง ที่มาพร้อมมายด์เซตไม่ยกตัวเป็นนางเอกจนมองข้ามคนอื่น และให้เกียรติทีมงาน ซึ่งเป็นคำสอนที่ได้รับการส่งต่อมาจากพระเอกรุ่นพี่ เข้ม-หัสวีร์ ภัคพงษ์ไพศาล อีกทั้งเชื่อว่าทุกอย่างที่เกิดขึ้นย่อมดีเสมอ นอกจากนี้ยังล้วงลึกเรื่องหัวใจและมุมมองความรักของนางเอกหน้าสวยคมคนนี้ด้วย

ฟีดแบ็ก “มนตราตะเกียงแก้ว” เป็นยังไงบ้าง?

“ฟีดแบ็กค่อนข้างทำให้เราใจฟูมากค่ะ เพราะทุกคนให้การตอบรับเป็นอย่างดี มีคอมเมนต์บอกว่าได้กลิ่นอายของความเป็น “สาวน้อยในตะเกียงแก้ว” ก็ทำให้เราภูมิใจที่ได้เป็นส่วนหนึ่งของจักรวาลแม่มดค่ะ ซึ่งความรู้สึกแรกที่รู้ว่าได้ร่วมโปรเจกต์มนตราตะเกียงแก้ว คือหนูรีบโทรฯ บอกคุณแม่และกรี๊ดกับคุณแม่เลย บอกว่า มี๊! หนูได้เป็นแม่มดนะ คุณแม่ก็ดีใจ เพราะว่าหนูดูมาตั้งแต่ภาคแรก ๆ แล้วและรู้สึกว่าเราอยากเป็นแม่มด อยากร้องและเต้น และร่ายเวทมนตร์ได้ ครั้งนี้ก็เป็นครั้งที่ 5 แล้ว ก็ได้มาเป็นส่วนหนึ่งของตัวละครหลักในเรื่องนี้ ภูมิใจและขอบคุณผู้ใหญ่ทุกท่านที่ให้โอกาสด้วย”

มีอะไรต้องโฟกัสเป็นพิเศษบ้าง เพื่อให้เป็น “เรนี่” ในแบบของ “กานต์”?

“ตัว “เรนี่” ไม่รู้ตัวเองมาก่อนว่ามีเวทมนตร์ จนอายุ 20 เราคิดอะไรก็ดันเกิดขึ้นจริง ตามที่เราคิดทุกอย่าง สิ่งหนึ่งที่กานต์ต้องฝึกคือการสวิตช์อารมณ์ เรนี่ไม่สามารถควบคุมตัวเองได้ เรามีพลังด้านมืดค่อนข้างเยอะมาก ทำให้แค่อะไรมาสะกิดเรานิดเดียวให้เราโกรธ มันก็จะคุมเราไปหมด ทำให้เรากลายเป็นอสูรร้ายได้เลย แต่พอเราเจอกับ “พ่อมดวิล” เขาจะเป็นคนที่คอยทำให้อสูรร้ายในตัวเราสงบลง อย่างในซีนเราเป็นมนุษย์คนนึง พอเจอเรื่องอะไรมาสะกิดนิดเดียว เราโมโห กรี๊ด แล้วมาเจอวิลในซีนเดียวกัน เราก็กลายเป็นซอฟต์ลงทันที นี่เป็นความยากที่เราต้องสวิตช์ และแววตาเราต้องเปลี่ยนทันทีค่ะ และความยากอีกอย่างคือการกรี๊ด หนูเรียนรู้การกรี๊ดจากเรื่องนี้เลย เพราะก่อนหน้านี้หนูกรี๊ดไม่เป็น เสียงห้าว กรี๊ดน่ากลัว (หัวเราะ) จนทุกคนตกใจ ก็มีภูมิ (เกียรติภูมิ บันลือชัยฤทธิ์) ที่บอกว่ากานต์ลองปรับเสียงมั้ย เพิ่มเสียงขึ้นมานิดนึงให้เป็นผู้หญิงหน่อย”

ด้วยความที่เวอร์ชันเก่าประสบความสำเร็จอย่างสูงจนเป็นตำนาน ส่วนตัวกดดันมากน้อยแค่ไหนในการแสดงครั้งนี้?

“ตอนที่กานต์ถ่ายทำก็ไม่รู้สึกกดดัน เราเต็มที่กับงาน และอยากให้คนดูชื่นชอบในตัว “เรนี่” ไม่อยากให้คิดว่าเป็นแม่มด เหมือนกันตั้ง 5 ภาค เราอยากให้คนมองว่านี่คือเรนี่นะ เสน่ห์ของเรนี่อยู่ตรงไหน ความสดใสบวกกับความร้ายของเรนี่จะมัดใจผู้ชมได้
หรือเปล่า ส่วนที่มีหลายคอมเมนต์เทียบกับเวอร์ชันเก่า ๆ กานต์ก็เห็นนะคะ แต่มองว่ามันเป็นสิทธิของเขา ถือเป็นเรื่องดีที่เขามาดูของเรา และเรารู้สึกว่าการที่เขาเป็นแฟนคลับมาตั้งแต่ภาค 1 ภาค 2 ภาค 3 ภาค 4 และเขามาเปิดใจดูภาค 5 มันก็เป็นเรื่องธรรมดาที่จะเกิดการเปรียบเทียบ แต่เราทำเต็มที่ที่สุดแล้ว ไม่ได้เสียดายอะไรเลยไม่เคยรู้สึกว่ามีซีนไหนที่เราไม่เต็มที่ เราก็อยากให้คนดูติดตามไปเรื่อย ๆ คิดว่ามันต้องมีบางมุมที่เรนี่มัดใจผู้ชมได้ อยากให้คนดูเปิดใจ เอ็นดูเรนี่ และเรียนรู้ไปกับตัวละครค่ะ”

อยากให้คนจดจำการแสดงครั้งนี้ของ “กานต์” ในฐานะ “แม่มดเรนี่” ยังไง?

“น่าจะเป็นเรื่องความสดใสของ “เรนี่” จริง ๆ เรนี่มีปมเรื่องครอบครัวในจิตใจเยอะ ภายนอกแสดงออกมาอาจดูพยายามทำให้ตัวเองเข้มแข็ง จนได้มาเจอ “วิล” หรือ “คุณยายทาฮิร่า” ที่เป็นคนคอยเติมความสดใสให้เรนี่ อยากให้ติดตามว่าสิ่งไหนที่จะทำให้เรนี่เป็นคนดี สิ่งไหนที่จะทำใหเรนี่เป็นคนร้ายค่ะ อยากให้คนเรียนรู้ตรงนี้”

มีผลงานต่อเนื่องเพราะต่อจากนี้ก็มีเรื่อง “ลางปริศนา” และ “เงากามเทพ” ด้วย รู้สึกยังไงบ้าง?

“เป็นโอกาสที่ดีมาก ต้องขอบคุณผู้ใหญ่ที่ให้โอกาสนี้ เราก็เต็มที่กับทุกงาน เป็นผลดีที่ได้รับการตอบรับในทุกเรื่องอย่างดี ทั้งแฟนคลับและผู้ใหญ่ก็ชื่นชอบในผลงานเรา ทำให้เราหายเหนื่อย รู้สึกว่าเราอยากอยู่ตรงนี้ต่อไป ทำงานให้เต็มที่และหนูก็คอยพัฒนาตัวเองตลอด เพราะหนูรู้สึกว่าการแสดง เป็นงานศิลปะที่ไม่มีทางหยุดนิ่ง ต้องพัฒนาและเรียนรู้ต่อไปเรื่อย ๆ ค่ะ”

แจ้งเกิดจากเวที “Thai Supermodel” ยังจำโมเมนต์แรกได้มั้ยว่าอะไรเป็นแรงผลักดันที่ทำให้อยากทำงานในวงการบันเทิง?

“หนูเป็นคนชอบถ่ายแบบและเดินแบบมาก หนูแอบคุณแม่มาประกวดแต่ท่านรู้ตอนเข้ารอบ 20 คนสุดท้ายแล้ว คุณแม่ก็บอกว่าให้ตัดสินใจดี ๆ ว่าจะเอาเรียนหรือมาทำตรงนี้ก่อน มันเป็นช่วงที่หนูเรียนปี 4 พอดี ต้องเลือกระหว่างทำตัวจบกับมาประกวด แต่ความโชคดีคือปีที่หนูประกวด เขาเลื่อนรอบไฟนอลไปปลายปี มันเลยมีเวลาให้เราทำตัวจบและมีเวลาให้เราได้พัฒนาตัวเองในเรื่องการเดินแบบ จนมาประกวดปลายปี  รู้สึกว่าโอกาสมาหาเราขนาดนี้แล้ว ช่วงเวลาทุกอย่างเหมือนถูกเซตไว้ เรารู้สึกว่าอยากทำตรงนี้ให้เต็มที่ รวมถึงพอเราได้มาอยู่จริง ๆ เรามีครอบครัว พี่ ๆ ทีมงาน พี่ ๆ ในช่อง รวมถึงแฟนคลับที่คอยเชียร์อัป ให้กำลังใจเรา พี่ ๆ นักแสดงทุกคน มันเลยทำให้เราแฮปปี้ที่จะอยู่ตรงนี้ต่อไป”

พอได้ทำงานในวงการเต็มตัว มันเหมือนหรือต่างจากสิ่งที่คิดตอนแรกยังไง มีอะไรที่ต้องปรับตัวเยอะที่สุด?

“เรื่องที่หนักเลย คือเรื่องคอมเมนต์ค่ะ ก่อนหน้านี้หนูค่อนข้างใส่ใจทุกอย่างมากจริง ๆ คือเราไม่เคยอยู่จุดนี้มาก่อน ก็ไม่รู้ว่ามันก็มีทั้งด้านลบและบวกนะ บางทีเราอาจไปเจอคอนเมนต์ที่ทำให้เราไม่สบายใจก็เก็บมาคิดมาก แต่โชคดีที่ช่วงที่เกิดเรื่องแบบนั้น เราสนิทกับพี่ ๆ นักแสเดง ก็มีการปรึกษา เขาก็แนะนำและสอน อะไรที่เราสามารถพัฒนาตัวเองได้ในสิ่งที่เขาบอกเราก็ทำ แต่อะไรที่มันไม่ใช่ความจริง ๆ หรือรู้สึกว่าเราเต็มที่ตรงนี้แล้ว เราก็ปล่อยไปบ้าง หนูเป็นคนที่เก็บทุกอย่างมาคิด แต่ตอนนี้เริ่มดีขึ้นแล้ว (หัวเราะ) ปล่อยวางมากขึ้น ทุกวันนี้ยังอ่านคอมเมนต์เหมือนเดิม และหลาย ๆ คอมเมนต์ค่อนข้างไปทางที่บวกเพราะเราก็คอยบอกทุกคนเสมอว่า หนูจะพยายามพัฒนาตัวเองในทุกด้าน อยากให้
ทุกคนชื่นชอบความเป็นตัวเรา เวลามาสัมภาษณ์หนูก็เป็นตัวเองเต็มที่ ก็ทำให้หลายคนชื่นชอบในความเป็นตัวเองค่ะ”

ทำงานวงการมา 3 ปี  มันเคยมีมุมท้อหรือผิดหวัง จนรู้สึกว่าวงการนี้อาจไม่เหมาะกับเราบ้างมั้ย?

“หนูไม่เคยมีความคิดอยากออกจากวงการ แต่เคยมีความคิดที่ท้อและเหนื่อย ปกติหนูเป็นคนร้องไห้ยากค่ะ แต่พอถ่ายเรื่อง “หงส์ฟ้า” เป็นละครเรื่องแรกที่หนูเป็นนางเอก ดราม่าหนักมาก หนูร้องไห้ทุกวัน แทบทุกคิวเลย บางทีก็เหนื่อยกับการร้องไห้ บางทีนั่งอยู่กับตัวเอง เราก็ร้องไห้ออกมาเอง เหมือนยังอินกับตัวละคร จนเราได้ไปเรียนการแสดงเพิ่มเติม ทำให้เรารู้จักการปล่อยตัวละครกลับไปสู่ธรรมชาติ มันเลยทำให้เราก้าวข้ามช่วงเวลาที่หดหู่ เพราะร้องไห้เยอะมาก แต่ตอนนี้เราร้องไห้เสร็จก็สามารถหัวเราะได้เลย (หัวเราะ) เราจริงจังกับงานเกินไป บางทีก็ส่งผลเสียต่อสุขภาพจิตเราได้”

แล้วมีคำดูถูก ที่เรารู้สึกอยากเอาชนะบ้างมั้ย?

“มีเรื่องเสียงที่ห้าวค่ะ จะมีที่บอกว่าทำไมนางเอกคนนี้เสียงห้าวจังเลย บางคนก็ใช้คำพูดแรงมาก แต่เราก็พยายามปรับ ซึ่งถ้าทุกคนสังเกตจากเรื่องแรกคือ “เสาร์ 5” หนูคือห้าวมาก เสียงใหญ่กว่าพี่เกรท (สพล อัศวมั่นคง) ที่เล่นคู่หนูค่ะ ก็มีบางคนบอกว่าทำไมนางเอกเสียงไม่หวานเลย มาหงส์ฟ้าเราก็ปรับขึ้นเล็กน้อย แต่เวลาเราร้องไห้ ปล่อยอารมณ์ไปตามตัวละคร เราก็ไม่สามารถควบคุมเสียงเราได้ ก็พยายามปรับต่อไปค่ะ แต่ด้วยความที่เนื้อเสียงหนูเป็นแบบนี้ ก็จะพยายามนะทุกคน (หัวเราะ)”

ณ วันนี้เราก็พิสูจน์ให้ทุกคนได้เห็นด้วยการเป็นนางเอกอย่างต่อเนื่อง จุดนี้มีความหมายกับ “กานต์” ยังไงบ้างมั้ย?

“กานต์รู้สึกว่าเป็นนางเอกก็เป็นอีกก้าวนึงที่สำคัญ เรารู้สึกว่าเราอยากทำให้เต็มที่ แต่ทุกครั้งเวลากานต์ถ่ายทำละครหรือละครออนแอร์ เราไม่เคยคิดว่าเราเป็นตัวหลักของเรื่องนะ เพราะสุดท้ายแล้วทุกตัวละครคือตัวเดินเรื่อง ทุกตัวละครจะซัพพอร์ตกันเสมอ นี่คือสิ่งที่แม่จุ๋ม (อุทุมพร ศิลาพันธุ์) สอนหนูมาว่าทุกตัวละครมีความสำคัญ ฉะนั้นห้ามวางตัวเหนือคนอื่น ถึงแม้ว่าเราจะอยู่ในฐานะนางเอก แต่สุดท้ายทุกตัวละครจะคอยซัพพอร์ตเรา ถ้าเราเปิดใจรักทุกคน ทุกคนก็จะเปิดใจรักเราเหมือนกัน”

นอกจากคำสอน “แม่จุ๋ม” แล้ว ยังมีแนวคิดอะไรที่จดจำไว้ใช้ในชีวิตบ้างมั้ย?

“ก็มีอีกคนคือพี่เข้ม (หัสวีร์ ภัคพงษ์ไพศาล) หนูเคยเล่นกับพี่เข้มคือ “เขยบ้านไร่ สะใภ้ไฮโซ” ซึ่งเป็นละครเรื่องแรกของหนู เขาบอกว่าเราต้องไม่แบ่งแยกระหว่างทีมงานกับนักแสดง เพราะว่าสุดท้ายแล้วผลงานจะออกมาดีหรือไม่ดี มันคือการทำงานร่วมกันเป็นทีม เข้มสอนเสมอว่าเราต้องให้เกียรติทีมงาน  ไม่ใช่ว่าเราวางตัวเป็นนักแสดง นี่คือสิ่งที่หนูจำจากเข้มมา และเข้มบอกว่ามันจะทำให้เราทำงานง่ายขึ้น และผลงานที่ออกมาก็จะดีมาก ๆ เพราะว่าเราเป็นแค่ส่วนหนึ่งของผลงาน แต่ทีมงานคือองค์รวมที่คอยช่วยดันเราขึ้นมาค่ะ ”

มีมุมมองต่อการแข่งขันในวงการบันเทิงยังไง?

“หนูทำทุกอย่างเต็มที่และหนูก็รู้สึกว่าโอกาสที่ได้รับมา หนูก็อยากทำให้มันดีที่สุดค่ะ ไม่อยากคิดว่าเราต้องไปแข่งขันกับใคร สิ่งหนึ่งที่เราต้องแข่งขัน ก็คือแข่งขันกับใจตัวเอง บางครั้งเราอาจท้อหรือเหนื่อย สิ่งนี้คือสิ่งที่หนูต้องผลักดันตัวเองว่าต้องสู้นะ ต้องพัฒนาตัวเองต่อไป การที่เราเอาตัวเราไปเปรียบเทียบกับคนอื่น ส่วนตัวหนูมันจะทำให้เรารู้สึกแย่ขึ้น แต่หนูจะบอกตัวเองว่าอะไรที่เกิดขึ้นมันดีเสมอ อะไรที่เราสามารถพัฒนาได้ สิ่งที่เราพอจะทำได้ในส่วนที่เราจะยืนอยู่ในวงการนี้ เราจะทำต่อไป อย่างที่ช่วงนี้อินฟลูเอนเซอร์กำลังมา เราก็พยายามทำสื่อโซเชียลเรา ให้อยู่ในกระแสตลอดเวลา เพื่อที่จะให้ทุกคนยอมรับเราในส่วนนึงด้วย เราก็ปรับตัว โซเชียลมาแรงทุกช่องทาง เราก็พยายามทำให้ทุกคนได้เห็นหน้าเราบ่อยขึ้น อยากให้ทุกคนรู้จักตัวตนหนูจริง ๆ ไม่ใช่รู้จักแค่ผิวเผิน และที่เห็นในโซเชียล ก็เป็นตัวหนูเลยร้อยเปอร์เซ็นต์ค่ะ”

หากย้อนไปแก้ไขได้ มีอะไรอยากทำให้ดีขึ้นบ้างมั้ย?

“ไม่มีอะไรที่หนูอยากย้อนไปแก้ไขนะคะ หนูรู้สึกว่าทุกอย่างที่เกิดขึ้นมันดีเสมอ ทุกอย่างในช่วงเวลานั้น มันดีที่สุดแล้ว สิ่งหนึ่งที่เราอยากทำ คืออยากทำปัจจุบันให้ดี เพื่อที่อนาคตเราจะได้ดีขึ้นกว่าเดิมค่ะ”

มาในตอนนี้ คิดว่าตัวเองประสบความสำเร็จกี่เปอร์เซ็นต์แล้ว และเป้าหมายต่อไปในวงการของเราคืออะไร?

“ไม่ได้คิดถึงเรื่องเป้าหมายเลยค่ะ แค่รู้สึกว่าทุกผลงานที่เราทำออกมา มีแฟน ๆ ชื่นชอบและหลงรักเราในตัวละครนั้น ๆ เราก็ดีใจมากแล้วค่ะ เราอยากพัฒนาตัวเองต่อไปเรื่อย ๆ พอมามองเป็นตัวเลข เปอร์เซ็นต์ เราก็คิดไม่ค่อยออกเท่าไหร่ (หัวเราะ) แต่ก็จะพยายามพัฒนาตัวเองต่อไป เพื่อไม่ทำให้แฟน ๆ ผิดหวังค่ะ”

อัปเดตหัวใจหน่อย?

“ยังไม่มีใครค่ะ อาจเป็นเพราะว่ายังไม่มีใครเข้ามามากกว่า แต่หนูไม่ได้ปิดนะคะทุกคน เข้ามาได้ค่ะ (หัวเราะ) ส่วนคนที่จะเอาชนะใจได้ จริง ๆ ไม่ซีเรียสตรงลักษณะนิสัยเลยค่ะ แต่สิ่งหนึ่งที่หนูรู้สึกว่ามันจะทำให้ความรักไปต่อได้ คือความเข้าใจ อยากให้เขาเข้าใจในสิ่งที่เราเป็น และเราก็อยากเข้าใจเขา คือหนูเป็นคนที่ค่อนข้างใส่ใจคนรอบข้าง อยากเทคแคร์เขาให้ได้มากที่สุด และรู้สึกว่าถ้าเราคุยกัน คลิกกัน เข้าใจกัน มันก็จะไปต่อกันได้ ไม่ว่าเขาจะเป็นยังไงก็ตาม แต่ถ้าเราเข้าใจกัน มันก็จะไปด้วยกันได้ ”

ชอบแบบเข้ามาจีบเราก่อน หรือเราไปจีบเขาก่อน?

“เข้ามาจีบหนูก็ได้ แต่หนูก็ชอบจีบคนอื่น (หัวเราะ) ได้หมด จะในหรือนอกวงการก็ไม่ติด แต่ความเข้าใจคือสิ่งที่สำคัญ”

ท้ายสุดนิยาม “ความรัก” ให้ฟังหน่อย?

“เคยมีคนบอกกานต์ว่า ถ้าเรารู้จักคำว่ารักตัวเองเป็น เราก็จะสามารถส่งต่อความรักให้คนอื่นได้ค่ะ และทุกวันนี้หนูรู้สึกว่าได้รับความรักจากครอบครัว เพื่อนร่วมงาน จากแฟนคลับ ด้วยความสุข เราก็อยากส่งความสุขให้ทุกคนเหมือนกัน เวลาหนูไปงานแล้วเจอแฟนคลับ หนูเห็นเขามีความสุข (น้ำตาคลอ) หนูไม่ได้เศร้านะ แต่มันซึ้ง อย่าง 7 สีคอนเสิร์ตที่ผ่านมา เขาก็จองรถตู้ไปด้วยกัน และทำป้ายไฟมาให้เรา หนูขอบคุณมาก ๆ ค่ะ รู้สึกว่าทุกครั้งเวลาแฟนคลับบอกว่าเราคือรอยยิ้มและความสุขของเขา เรารู้สึกดีใจและอยากบอกเขาว่า เขาก็คือความสุขของเราเหมือนกัน ที่ผ่านมาเราได้รับความรักจากครอบครัวเต็มที่ จนมีอีกกลุ่มคนที่เพิ่มเข้ามา ก็รู้สึกเติมเต็มได้
มากขึ้นค่ะ”

เชื่อว่าบทสัมภาษณ์จะทำให้แฟน ๆ ได้รู้จักและหลงรัก “กานต์-ณัฐชา” มากขึ้นแน่นอน.

เรื่อง : วันวิสาข์ ดอกเงิน