ยกให้เป็นอีกนางเอกสาวที่สวย เก่ง ที่ไม่เคยหมดแพสชั่นในการทำงานที่รัก สำหรับ ปราง-กัญญ์ณรัณ วงศ์ขจรไกล ที่ล่าสุดเดินตามฝันสำเร็จอีกหนึ่งอย่างกับการขึ้นแท่นศิลปินเต็มตัวในชื่อ “เลดี้ปราง (LADIIPRANG)” นักร้องเบอร์แรกของค่าย “4November Entertainment”  แถมยังประสบความสำเร็จกับซิงเกิลแรก “นิทานความรัก” ที่แฟน ๆ ให้การตอบรับเป็นอย่างดี งานนี้ “ดาวต่างมุม” เลยไม่พลาดเปิดบ้านต้อนรับสาวสวยคนนี้มานั่งพูดคุยกัน ทั้งการตัดสินใจเป็นศิลปิน และเบื้องหลังการทำงาน กว่าจะออกมาเป็นผลงานเพลงล่าสุด  ที่หยิบยกประสบการณ์รักมาถ่ายทอดอย่างสวยงาม รวมไปถึงเรื่องราวตลอด 10 ปีบนเส้นทางบันเทิง การก้าวข้ามคำสบประมาท และคำวิจารณ์ที่ทำให้เธอสตรองขึ้น อีกทั้งยังเผยเรื่องเดียวที่ทำให้เธออยากออกจากวงการ และพลาดไม่ได้กับการเปิดหัวใจ ที่แม้เจ้าตัวจะเคยผิดหวังกับความรักที่เคยเกือบได้สวมชุดเจ้าสาว แต่สาวปรางยังคงศรัทธาในความรักเสมอ พร้อมเฉลยคนที่จะเอาชนะใจของเธออีกด้วย

อัพเดทผลงานอีกบทบาท กับการตัดสินใจเดบิวท์ เป็นศิลปินเบอร์แรกของ “4November Entertainment”?

            “จริง ๆ ปรางมีความฝันตั้งแต่เด็ก ๆ แล้วค่ะ ว่าอยากเป็นนักร้องมาเสมอ เพียงแต่เส้นทางที่เราเริ่มต้นเข้ามาในวงการบันเทิงมันมาจากนักแสดงค่ะ และก็เดินทางมาเรื่อย ๆ และรู้สึกว่าตอนนั้นต้องทำหน้าที่ที่เป็นอยู่ให้ดีที่สุด นั่นก็คือการเล่นละคร หรือพัฒนาด้านการแสดง แต่ในขณะเดียวกัน เชื่อมั้ยคะว่าไม่มีสักวันเลยที่ปรางจะลืมว่าตัวเองอยากเป็นนักร้อง มันมีความฝันนั้นอยู่เสมอ และพอเป็นนักแสดงมาเรื่อย ๆ มันก็มีงานอีเว้นท์ให้เราไปร้องเพลง มีงานคอนเสิร์ตให้เราเป็นแขกรับเชิญ จริง ๆ แค่นั้นก็ค่อนข้างเติมเต็มเราแล้ว เรามีความสุขมากที่ได้ทำความฝันพร้อมกับกับอาชีพที่เรารัก แต่วันนี้มันมากกว่านั้นแล้ว มันได้ก้าวมาเป็นศิลปินจริง ๆ เวลาที่คนเรียกหนูว่าศิลปินหน้าใหม่ ‘เลดี้ปราง’ มันมีความสุขและประทับใจทุกครั้งเลย ส่วนการตัดสินใจร่วมงานกับ 4November Entertainment  คือพี่กึ้ง (เฉลิมชัย มหากิจศิริ) ติดต่อมา บอกว่า โฟร์ วัน วันฯ อยากให้เราเข้ามาคุยงานเพลง สนใจมั้ย เราตื่นเต้นมาก ตอนนั้นก็คิดแค่ว่า โฟร์ วัน วันฯ เขาดังในเรื่องที่ส่งน้อง ๆ ไปเทรนที่เกาหลี และเป็นไอดอลกลับมาทำเพลง เราก็แอบคิดว่ามันเข้ากับเรามั้ย เพราะเราก็โตแล้ว แต่คิดว่าต้องเข้าไปคุย เพราะอาจมีโปรเจ็กต์อื่น ๆ ที่เหมาะกับเราก็ได้ และก็เป็นอย่างนั้นจริง ๆ พอเข้าไปคุยเขาก็บอกว่ามีโปรเจ็กต์ใหม่ 4November Entertainment ที่พัฒนา ต่อยอดคนที่มีทาเล้นจ์ หรือคนมีฝัน แต่ฝันนั้นยังไม่ถูกทำให้สำเร็จ ซึ่งมันก็ตรงกับเราเลย เราอาจมีความสามารถด้านการร้องเพลงอยู่บ้าง แต่หนูไม่เคยเรียนทุกอย่างจริงจังขนาดนี้ เพราฉะนั้นพอคุยเป้าหมายตรงกัน เขาอยากจะปั้นเราให้เป็นศิลปิน เราก็โอเค เริ่มเลย เราก็เริ่มเทรนต่าง ๆ การเรียนร้องเพลง เลือกเพลง เราก็รู้สึกดีมาก เพราะเราได้มีส่วนร่วมในทุกอย่าง ที่ออกมาเป็นเพลง ‘นิทานความรัก’ วันนี้ค่ะ ”

การปรับตัวจากนักแสดง มาสู่การเป็นศิลปินยากง่ายแค่ไหน?

“วันนี้มันเหมือนเริ่มใหม่ หนูอยู่วงการ เป็นนักแสดงมาสิบปี หนูยังจำความรู้สึกวันแรกที่เป็นนักแสดงได้อยู่เลย ว่าเรารู้สึกอะไรบ้าง วันนี้หนูกลับมารู้สึกแบบนั้นอีกครั้งนึงค่ะ ทุกครั้งที่เราต้องโชว์ เข้าห้องอัด มันตื่นเต้น ทุกอย่างเหมือนเราเป็นน้องใหม่ และเราทำทุกอย่างด้วยความตั้งใจอยู่แล้ว และหนูก็ทำมันไปด้วยความสุข เพราะเป็นสิ่งที่รักมาจริง ๆ ก็พยายามทำให้ดีที่สุด”

วงการเพลงก็มีการแข่งขันค่อนข้างสูง สิ่งที่ยากและท้าทายที่สุดในการทำงานเพลงคืออะไร?

“อันนี้ก็ต้องยอมรับว่าเป็นเรื่องจริง ๆ แต่สุดท้ายแล้ววันนี้ พอทำมาเรื่อย ๆ หนูไม่ได้กดดันที่เพลงหนูต้องดัง ขึ้นชาร์ตอันดับ 1 แต่จุดเริ่มต้นของการเป็นศิลปินของหนูวันนี้ หนูแค่รู้สึกว่า ก่อนอื่นเราต้องทำให้คนเชื่อในความเป็นศิลปินของเราก่อน เพราะคนมองเห็นเราในฐานนะนักแสดงมานานมาก ๆ และวันนี้เราจะก้าวมาสู่บทบาทการเป็นศิลปิน หนูก็อยากเคารพผู้ฟัง เคารพคนที่เขาเสพงานศิลปะเรา อย่างน้อยแค่เขาเชื่อว่าเราเป็นศิลปิน เชื่อว่าเรามีส่วนร่วมในการสร้างผลงานนี้ขึ้นมา อันนั้นถือว่าประสบความสำเร็จ สำหรับหนูแล้ว และในอนาคต เราแค่ต้องพัฒนาตัวเองต่อไป ส่วนเรื่องการเปรียบเทียบ การแข่งขัน มันเป็นเรื่องปกติ หนูว่ามันมีทั้งหมดค่ะ ไม่ว่าจะวงการไหนก็ตาม สิ่งที่เราต้องทำคือพัฒนาตัวเอง ในวันนี้หนูเริ่มใหม่ การเป็นศิลปินก็เริ่มจากศูนย์เลย หนูคงต้องพัฒนาไปอีกเยอะมาก ๆค่ะ ”

ผลงานเพลงแรก “นิทานความรัก” ได้รับกระแสตอบรับดีมาก รู้สึกยังไงบ้าง?

“ดีใจสุด ๆ ค่ะ (ยิ้ม)   ไม่รู้จะใช้คำว่าอะไรที่มากกว่าดีใจ เพราะว่ามันคือที่สุดในชีวิตเหมือนกัน การที่ได้เป็นศิลปินมันดีมาก ๆ แล้ว แต่วันนี้ มันมีคนยอมรับในสิ่งที่เราพยายาม ตั้งใจ นำเสนอออกมา ไม่ว่าจะเป็นตัวเพลง เอ็มวีต่าง ๆ ที่ทุกคนช่วยกัน หรือเนื้อเพลงที่หนูพยายามเขียน ตอนแรกก็รู้สึกว่าเราเขียนเนื้อเอง แล้วเราไม่ค่อยมั่นใจ เราไม่ใช่นักแต่งเพลง (ยิ้ม) เราเป็นนักแสดง แต่ก็ลองดู ตอนแรกก็ค่อนข้างกังวล พี่กึ้งให้ลองเขียนแต่หนูกลัวคนไม่อินกับเนื้อเพลงของหนู ก็บอกพี่เขาว่าถ้าเป็นนักแต่งเพลง อาจมีภาษาที่ดีกว่านี้รึเปล่าค่ะ แต่ทุกคนก็บอกว่านี่มันดีแล้ว ก็ลุ้นจนกระทั่งวันนี้มันออกมา แล้วทุกคนก็ชื่นชอบ ทุกอย่างองค์รวมมันดีไปหมดค่ะ”

 “ปราง”  ได้แรงบันดาลใจ หรือหยิบยกประสบการณ์อะไร มาเขียนเพลง “นิทานความรัก”  ในครั้งนี้?

“พอพี่กึ้งบอกให้เขียนเพลงเอง ก็เป็นโจทย์ที่ยากมาก ๆ สำหรับหนูค่ะ แต่เขาก็บอกให้ลองดู จะได้มีส่วนร่วมกับเพลงนี้ เราไม่รู้จะเขียนเรื่องอะไร นอกจากเรื่องที่เป็นประสบการณ์ของเราเองด้วยในส่วนนึง เพราะว่าการที่เราเขียนอะไร แล้วออกมาจากใจ ปรางว่าคนดูน่าจะรับรู้ได้ นั่นคือสิ่งแรกที่คิด เลยมองย้อนกลับไปในความสัมพันธ์ของตัวเอง ซึ่งตอนนั้น เป็นช่วงเวลาที่จิตใจเราโอเคแล้วในระดับนึง รู้สึกว่าเราค่อนข้างมั่นคงในความรู้สึก เหมือนได้เรียนรู้อะไรมาหลาย ๆ อย่างแล้ว เราเลยมองย้อนกลับไปแล้วรู้สึกว่าช่วงเวลาตอนนั้นมันดีมาก ๆ นะคะ มีความสุขและทุกอย่างก็สวยงามจริง ๆ เลยได้คำว่า ‘นิทาน’   เพราะหนูมองความรักที่ผ่านมา เป็นเหมือนนิทานเล่มนึง มันเป็นเรื่องที่ดี ที่หนูก็อยากเก็บมันไว้ในใจ ซึ่งเป็นนิทานที่อาจไม่มีตอนจบแบบที่เราตั้งใจ แต่ที่ผ่านมาเราตั้งใจเขียนให้มันดีมาตลอดแหละ แต่สุดท้ายมันไม่ได้เป็นไปตามที่เราตั้งใจ แต่หนูอยากเก็บนิทานเล่มนี้เอาไว้ในใจ ให้มันเป็นความทรงจำที่ดี แล้วปัจจุบันเราก็แค่ก้าวเดินต่อไป แล้วเก็บมันไว้เป็นนิทานสวย ๆ อยู่ในใจเรา พอเขียนไปเขียนมา ก็รู้สึกว่าตอนนี้เรามูฟออนได้แล้ว ถ้าคนได้ฟังเพลงนี้ หนูก็อยากจะให้รู้สึกเหมือนหนู ตรงที่ว่าต่อให้คุณผ่านความเจ็บปวด หรือความสัมพันธ์ที่ไม่ดีมากมายแค่ไหน อยากให้คุณมองเหมือนเป็นนิทานอย่างที่เรามอง เก็บมันไว้ในใจ และอยากให้ทุกคนที่กำลังผิดหวังอยู่ ก้าวเดินต่อไป อยากให้มีมุมมองที่ดีต่อความรัก เชื่อมั่นในความรักว่ามันสวยงามและก้าวต่อไป อยากให้ทุกเชื่อว่าวันนึง เราจะเจอตอนจบที่ดี”

ก่อนหน้านี้ “ปราง” แอบมีดราม่าที่ขึ้นคอนเสิร์ต และคนวิจารณ์เสียงและโชว์ของเรา มา ณ วันนี้ พอมีซิงเกิลของตัวเอง ทำให้เราได้พิสูจน์ตัวเองด้านไหนบ้างมั้ย?

 “จริง ๆ ทุกอย่างต้องพัฒนา ไม่มีใครเก่งมาตั้งแต่เริ่มต้น หนูเองก็เช่นกัน และเรารู้สึกว่า วันนี้ผลงานออกมาแล้วมีคนชื่นชอบมากขึ้น มันก็เป็นหนึ่งก้าว แต่มันก็ไม่ได้หยุดแค่นี้อยู่แล้ว ยังไงหนูก็ต้องพัฒนาต่อไป หนูยังต้องเรียนรู้อะไรอีกเยอะมากค่ะ และการที่หนูได้ร้องเพลงในทุกวันแบบนี้ ก็ยิ่งทำให้หนูพัฒนา ไม่ว่าจะมีคำติชมอะไรมา ไม่มีอันไหนที่จะทำให้หนูรู้สึกท้อใจเลย เพราะมีคนที่อยู่เบื้องหลังหนูเยอะมาก ๆ ที่คอยเป็นกำลังใจ ยืนลุ้นเราทุกครั้งที่เราขึ้นคอนเสิร์ต คอยทำทุกอย่างให้มันออกมาเพอร์เฟ็คต์ เพราะฉะนั้นหนูเลยไม่เคยรู้สึกว่าคอมเมนต์แย่ ๆ ที่เขามาติเราจริง ๆ มันจะบั่นทอน แต่มันกลับทำให้เรารู้สึกว่าเราจะอ่านและเก็บไว้พัฒนา อะไรที่พัฒนาได้ จะพยายามพัฒนาให้ดีที่สุดค่ะ ”

คาดหวังในการเป็นศิลปิน อยากประสบความสำเร็จยังไง?

“มันเป็นความฝันของหนู ก็อยากให้มันเป็นฝันที่ไปอีกไกลมาก ๆ อยากให้ผู้ฟังได้มองเห็นพัฒนาการของเรา ไม่คาดหวังให้เพลงต้องดัง เป็นแบบร้อยล้านวิวส์ แค่คนรับรู้ว่าหนูอีกบทบาทที่สำคัญในชีวิตนะ และหนูก็ตั้งใจกับมันมากจริง ๆ คาดหวังให้คนติดตามเรา คอยมองพัฒนาการของหนูนะคะ ว่าหนูจะไปได้อีกไกลแค่ไหน แต่สัญญาว่าจะไม่หยุดอยู่แค่นี้”

นอกจากเพลงแล้ว มีงานอะไรอีกบ้าง งานละครยังไม่ทิ้งใช่มั้ย?

“งานละครก็ไม่ทิ้งค่ะ (ยิ้ม) เหมือนเป็นสิ่งที่เราก้าวเข้ามาในวงการบันเทิง และหนูก็นักมันมากเหมือนกัน แม้ว่ามันจะไม่ใช่ความฝันแรกของชีวิตก็ตาม แต่เราก็ทำมันมา 10 ปีแล้ว มันทำให้เรามีพื้นที่ยืนอยู่ทุกวันนี้ มีชื่อเสียง และก็กำลังมีละครออนแอร์ทางช่องวัน คือเรื่อง ‘บุหงาส่าหรี’ น่าจะได้ดูเร็ว ๆ นี้ค่ะ ก็เล่นกับ เจษ (เจษฎ์พิพัฒ ติละพรพัฒน์) ซึ่งความน่าสนใจของเรื่องนี้ คือเป็นการถ่ายทอดวัฒนธรรมบาบ๋า ย่าหยา ของทางภาคใต้ ซึ่งปรางมองว่ามันเป็นเรื่องที่น่าสนใจ เป็นพีเรียดในยุคที่ยังไม่ค่อยมีใครหยิบขึ้นมาทำเป็นละคร และที่สำคัญคือเป็นละครรักโรแมนติก ก็ถ้าใครที่ชอบละครที่มีฟิลลิ่งแบบหัวใจเป็นสีชมพู ปรางว่าเรื่องนี้พลาดไม่ได้ค่ะ”

อยู่วงการมา 10 ปีแล้ว ได้ลองมาหลายบทบาท อีกทั้งตอนนี้ยังเป็นนักแสดงอิสระด้วย ณ วันนี้ปรางเลือกรับงานยังไง?

“ทุกบทบาทที่ติดต่อเข้ามา ปรางอยากรับทั้งหมดนะคะ (ยิ้ม) แต่ด้วยเรื่องของเวลา และตอนนี้แบ่งเวลามาทำศิลปินด้วย เพราะฉะนั้น มันเลยทำให้เรารับไม่ได้ในทุกเรื่องที่ผู้ใหญ่มองเห็นว่าเราเหมาะกับบทบาทนี้ ก็อาจจะเป็นบทที่ยังไม่เคยเล่น หรือบทที่พัฒนาตัวเองไปได้อีก ก็จะเลือกเป็นช้อยส์แรก ๆ ค่ะ”

รีวิวชีวิต 10 ปีในวงการหน่อย มองย้อนไป คิดว่าตัวเองเปลี่ยนจากวันแรกที่เข้าวงการมากน้อยแค่ไหน ?

 “10 ปีในงวงการมันยาวนานมากสำหรับหนู ผ่านอะไรมาเยอะมากเลย ยังจำวันที่ตื่นเต้น ออกอีเวนท์วันแรกแล้วมีพี่ ๆ มาสัมภาษณ์เยอะ ๆ ได้อยู่เลย และความตื่นเต้นในสิ่งที่ตัวเองต้องตอบออกไป รวมถึงคำวิจารณ์ต่าง ๆ เวลาที่เราสร้างผลงานสักอย่าง แต่มันก็ทำให้หนูแข็งแกร่งขึ้นจริง ๆ วันนี้หนูเป็นหนู เพราะ 10 ปีที่ผ่านมาจริง ๆ ค่ะ คือละครทุกเรื่อง ผู้กำกับและนักแสดงทุกคนที่เคยเจอ งานอีเวนท์ทุกงานที่มันทำให้เราพัฒนา ถ้ามันขาดสิ่งใดสิ่งหนึ่งไป ก็ไม่แน่นะคะ ถ้าหนูไม่ได้เป็นนักแสดงเมื่อ 10 ปีที่แล้ว วันนี้หนูก็คงไม่ได้เป็นศิลปินในวันนี้ เพราะหนูรู้สึกว่ามันมีส่วนช่วยได้มาก ไม่ว่าจะเป็นการเขียนเพลงนี้ขึ้นมา การเป็นนักแสดงของหนูช่วยได้มาก รวมทั้งการร้องเพลง บทบาทนักแสดงก็ช่วยได้มากในการที่เราจะถ่ายทอดอารมณ์เพลงออกมา ทุกอย่างทุกสะสมมาเป็นอย่างดี จนมาเป็นวันนี้”

ในเรื่องดราม่าผ่านมา 10 ปี เรารับมือกับมันได้ดีขึ้นมั้ย การรับมือดราม่าของ “ปราง เวอร์ชั่น 2023” เป็นยังไง?

“ยอมรับเลยค่ะว่าแข็งแกร่งขึ้นมาก ๆ เข้าใจโลกมากขึ้น ปรางว่าเป็นทุกคนแหละ เข้ามาในวงการใหม่ ๆ เราอาจเครียดกับทุกคำติชมที่เกิดขึ้น และพยายามรับมือกับมันอย่างดีที่สุด แต่ว่าสภาพจิตใจของเรา บางทีไม่พร้อม บางทีเราเหนื่อยล้าจากการทำงานหรือว่าเรากำลังอยู่ในสถานการณ์ที่ค่อนข้างอ่อนแอ แต่ทุกวันนี้มันเหมือนเราเปิดรับความเป็นไปมากขึ้น เราเข้าใจว่าทุกสิ่งทุกอย่างมันเกิดขึ้นได้เสมอ ไม่ว่าเราจะทำอะไร มันต้องมีทั้งคนรักและคนไม่ชอบ หรือว่ามีทั้งคนที่อยากชมและอยากติด้วยความจริงใจ เราต้องแยกแยะให้ได้ว่าอันไหนเป็นคำลบที่บั่นทอน หรืออันไหนเป็นคำลบ ที่ทำให้เราสามารถเติบโตได้ค่ะ เราต้องแบ่งแยกให้ได้ รวมถึงทั้งหมดทั้งมวลจิตใจเราต้องเข้มแข็งพอที่ยอมรับในทุกอย่างที่เกิดขึ้น สุดท้ายเลยได้ข้อคิดที่ว่า ไม่ว่าจะทำอะไรให้ทำให้เต็มที่ค่ะ ถ้าเราทำเต็มที่แล้ว เวลาคนมาติชมเรา เราจะไม่รู้สึกว่า เห็นมั้ย เราน่าจะทำอย่างนั้น แต่ในเมื่อเราทำเต็มที่แล้ว ก็ยังมีคนมาติเราอยู่ ตรงนั้นเราจะได้ไม่เสียใจมาก เพราะว่ามันก็สุดกำลังที่เราจะทำแล้ว ก็ไว้ต่อไปแล้วกัน เราจะพัฒนาไปอีกค่ะ คำวิจารณ์ทำให้เรากลายเป็นอยากทำให้ดีขึ้นมากกว่าค่ะ”

ตอนนี้ “ปราง” ก็เป็นนางเอกแถวหน้าของวงการ เชื่อว่ากว่าจะมีวันนี้ของ “ปราง” ไม่ใช่เรื่องง่าย เคยเหนื่อยจนท้อ และคิดว่างานในวงการไม่เหมาะกับเราบ้างมั้ย?

“ไม่เคยมีวันไหนที่หนูคิดจะออกจากวงการบันเทิงเลยค่ะ ยกเว้นมีเรื่องเดียว ที่ตอนนั้นคิดว่าตัวเองร่างกายไม่ค่อยแข็งแรง ตอนนั้นที่อยากออกจากวงการบันเทิง เพราะว่าเราไม่พร้อม และทำให้คนอื่นต้องมารอเรา ทำให้งานมันเดินได้ช้าลง อันนั้นเป็นข้อเดียว แต่วันนี้หนูกลับมาสภาพร่างกายที่แข็งแรง และจิตใจที่สมบูรณ์มาก ๆ เพราะฉะนั้นมันไม่เคยมีวันไหนที่หนูคิดว่าวงการนี้ไม่เหมาะกับเราเลย เรามีความสุขทุกครั้งที่เราได้เห็นคนที่ชมละครเรา ฟังเพลงเรา เขามีความสุขและเดินมาบอกเรา แค่นั้นมันคือกำลังใจในทุกวันที่เราอยากจะตื่นมาสร้างสรรค์ผลงาน ไม่ว่าเราจะเหนื่อยมาก หนูพูดว่าเหนื่อยทุกวันเลย (ยิ้ม) แต่คำว่าเหนื่อยไม่เคยทำให้หนูหยุดการทำงานเลยสักวันค่ะ”

มีคำปรามาสหรือคำดูถูก ที่เรารู้สึกว่าเอาชนะได้แล้วบ้างมั้ย?

“มันมีหลายรูปแบบค่ะ ให้เลือกเป็นคำหนูก็จำไม่ได้ ตั้งแต่เรื่องเล่นละครยังไม่ดี ยังไม่เหมาะบ้าง ถามว่าเราเอาชนะมันมาได้หรือยัง จริง ๆ แค่ทำทุกอย่างไปเรื่อย ๆ ค่ะ ทำให้เต็มที่แค่นั้นเลย ไม่ได้คิดเลยว่าเราต้องเปลี่ยนตัวเองให้เหมาะกับบทนี้ แค่คิดว่าทำทุกอย่างให้ดีค่ะ เราไม่ได้เปลี่ยนตัวตนเอาใจใคร เป็นตัวของเรานี่แหละ ปรางว่าการเป็นตัวของเราดีที่สุด นอกจากเราจะไม่สูญเสียตัวเองแล้ว ปรางว่าคนเขาชื่นชอบในความเป็นเรานี่แหละ ที่เขารักเราทุกวันนี้”

มองความสำเร็จในวงการยังไง?

“สำหรับหนูคือการได้ที่ทำอะไรที่หนูรักและมีความสุข แค่นั้นเลย หนูเข้ามาในวงการ ตอนแสดงละครก็ไม่ได้มาจากบทบาทนางเอก เราก็ค่อย ๆ เล่น พัฒนาฝีมือมาเรื่อย ๆ เพราะฉะนั้น หนูเลยไม่ได้เป้าหมายในชีวิตว่า ฉันต้องได้เป็นนางเอกแล้วฉันจะภูมิใจมากที่สุด ตอนนั้นหนูก็แค่ทำหน้าที่ของหนูให้ดีที่สุด เลยรู้สึกว่าแค่ได้ทำสิ่งที่เรารัก หนูมองว่าคงไม่ได้มีเป้าหมายอะไรใหญ่ ๆ หรอก เพียงแต่เราค่อย ๆ ก้าวไป และระหว่างที่ก้าวไป ก็ขอให้เชื่อว่าตัวเองทำแล้วมีความสุขก็พอ”

อัพเดทนิทานความรักของเราหน่อย ณ ตอนนี้หัวใจเป็นยังไงบ้าง?

“โสดสนิทค่ะ ด้วยเรื่องเวลาและอะไรต่าง ๆ จริง ๆ เป็นคนชอบให้ตัวเองมีความรักเสมอ เพราะฉะนั้น ไม่ได้เข็ดหรือกลัวความรักใด ๆ เลย เพียงแต่รู้สึกว่า วันนี้ถ้ามีคนเข้ามาทำความรู้จักเรา เรายินดีนะคะที่ทำความรู้จักเขา เพียงแต่ยังไม่มีความรู้สึกที่จะก้าวข้ามพัฒนาไปมากกว่าเพื่อน วันนึงอาจเจอคนที่ทำให้ปรางรู้สึกอย่างนั้นก็ได้ หรือวันที่เรามีเวลามากขึ้น หรือวันที่เราพร้อมมากกว่านี้ คือวันนี้มันยังไม่มีความรู้สึกนั้นจริง ๆ เราอยากเคารพความรู้สึกตัวเองด้วย แต่ไม่ได้ปิดกั้น ยินดีที่จะทำความรู้จักทุกคนเสมอ ”

ถ้าให้เล่านิทานความรักของ “ปราง” ให้แฟน ๆ ได้เข้าใจมากที่สุดอีกสักครั้ง ตอนนี้อยู่บทไหน ในนิทานเล่มนี้? 

“นิทานความรักมันเหมือนเป็นสิ่งที่อยู่ในใจ ปรางเชื่อว่าทุกคนมีนิทานความรักเป็นของตัวเอง ซึ่งนิทานเล่มนี้ของแต่ละคนมีจุดมุ่งหมายเดียวกันหมด คือทุกคนตั้งใจเขียนให้ดี ไม่มีอยากให้มันออกมาไม่ดี หรือเป็นตอนจบที่ไม่ดี ทุกคนมีตอนจบอยู่ในใจ บางคนอาจอยากแต่งงาน บางคนแค่อยากใช้ชีวิตอยู่กับคน ๆ นี้ ซึ่งตอนจบของทุกคนต่างกัน แต่สิ่งเดียวที่เหมือนกันคือทุกคนตั้งใจให้มันดีที่สุด สุดท้ายแล้วก็ไมใช่ทุกคนที่จะมีตอนจบอย่างที่ตัวเองตั้งใจ แม้ว่าตอนจบอาจไม่เป็นแบบที่เราฝัน สุดท้ายหนูรู้สึกว่านิทานเล่มนี้ก็แค่เปลี่ยนจากนิทานที่สวยงามกลายเป็นบันทึกความทรงจำเล่มนึง ที่จะอยู่ในใจเราไปตลอดค่ะ ไม่สามารถลบมันออกไปจากใจได้แน่นอน ถ้าเรามองให้มันสวยงาม ปรางเชื่อว่าวันนึง เราจะเจอตอนจบที่เราฝันไว้”

จากประสบการณ์ที่ผ่านมา “ปราง” เกือบสวมชุดเจ้าสาวแล้ว แต่ต้องเลิกกันไปมันทำให้มุมมองเรื่องความรักของเราเปลี่ยนไปรึเปล่า?

“ความรักยังสวยงามเสมอสำหรับหนูนะ และหนูไม่คิดว่าตัวเองจะไม่มีความรักอีกแล้ว ไม่มีความคิดนั้นแน่นอนที่เกิดขึ้นในใจหนู แต่ว่าเราอาจมองเห็นภาพชัดขึ้น หมายถึงว่าทุกอย่างมันไม่มีอะไรแน่นอน ความรักไม่มีแบบแผนตายตัวเหมือนนิทาน อย่างที่หนูบอกว่าเราไม่สามารถเขียนให้มันไปถึงตอนจบแบบที่เราอยากให้เป็นได้ แบบที่เราคิดตอนที่เราเด็กกว่านี้ แต่ทุกอย่างเราแค่ต้องทำมันให้ดีที่สุด แล้วถ้าสุดท้ายตอนจบมันไม่เป็นอย่างที่ใจเราฝัน เราก็อย่าไปเสียใจ ทุกอย่างเริ่มต้นใหม่ ก็เริ่มนิทานเล่มใหม่ได้ และก็เก็บมันไว้ในใจนั่นแหละ อย่าทำให้มันเป็นแผล แต่มองให้มันเป็นเรื่องที่สวยงามค่ะ หนูไม่เคยหมดศรัทธาในความรัก หนูอยากมีความรักเสมอค่ะ”

ความรักสำคัญกับชีวิต “ปราง” ยังไง?

“มันทำให้ชีวิตเราเดินต่อไป มันเป็นกำลังใจ และเป็นแรงใจว่าทำไมเราถึงตื่นมาและเราใช้ชีวิตเพื่อใครด้วย ความรักมีหลายรูปแบบสำหรับปราง ทุกวันนี้ก็มีทั้งความรักครอบครัว แฟน ๆ ที่ทำให้เราตื่นมาแล้วกำลังใจที่จะทำอะไรเพื่อใครสักอย่างนึงค่ะ”

คนที่เข้ากับปรางได้ ณ ตอนนี้ ต้องมีนิสัยยังไง?

“หนูเป็นคนเรียบง่ายมากนะคะ สบาย ๆ เพราะฉะนั้นหนูอยากเจอคนที่เขาใช้ชีวิตเรียบง่ายเหมือนกัน มองโลกในแง่ดีเหมือนกับเรา ชอบคนทัศนะคติดี เข้าใจโลก คำนี้สำคัญมาก หมายถึงว่าเข้าใจสิ่งต่าง ๆ ที่มันเกิดขึ้น เพราะชีวิตเราไม่ได้มีแต่ด้านที่สวยงาม มีทั้งเรื่องที่ดีและไม่ดี แต่ว่าถ้าคนที่เขาอยู่เคียงข้างเรา เขาเข้าใจในทุกสิ่งที่เกิดขึ้น ปรางว่ามันมันจะเกิดทัศนคติที่ดี และเราจะอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุข  เรื่องอายุไม่ติดเลยค่ะ”

ท้ายสุด “ปราง” มีมุมมองต่อการแต่งงานยังไง?

“อยากแต่งงานสิคะ (หัวเราะ) เหมือนเดิมค่ะ หนูยังมองเห็นความสวยงามของความรักมาก ๆ ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่เหมือนที่มันจะเกิดขึ้น วันนึงหนูอาจไม่ได้แต่งงาน ใส่ชุดเจ้าสาวก็ได้ หนูอาจมีคู่ชีวิตที่ดีมาก ๆ นั่นก็คือการประสบความสำเร็จเช่นกัน แต่ถามว่าอยากแต่งงานมั้ย หนูว่าผู้หญิงทุกคนก็มีความฝัน หนูมองเห็นภาพตัวเองชัดมากเลยค่ะ ว่าอยู่ในชุดแต่งงานแบบไหน ยังไง เพียงแต่ว่าสุดท้ายใครจะอยู่เคียงข้างเรา อันนั้นก็เป็นเรื่องอนาคต ที่เราต้องตามหาต่อไป หาสิ่งที่ทำให้เรามีความสุขจริง ๆ ยึดมั่นความสุขตัวเองเป็นหลักค่ะ”

ตลอดการพูดคุย สัมผัสได้ถึงแพสชั่นและความมุ่งมั่นของ “เลดี้ปราง” ที่มีต่องานของเธอจริง ๆ รวมถึงเรื่องหัวใจที่ เธอแม้เธอจะเคยผิดหวัง แต่นั่นไม่ใช่บาดแผลแต่กลับเป็นความทรงจำที่งดงาม  ซึ่ง “นิทานความรัก” ของปราง น่าจะเป็นพลังบวกให้หลายคน และเชื่อว่าด้วยศรัทธาในความรัก จะทำให้วันนึงปรางจะได้เจอพระเอกตัวจริงในนิทานความรักของเธอ ที่มาช่วยเขียนให้เรื่องราวจบลงอย่างแฮปปี้ เอนดิ้งแน่นอน!

โปรย “… ความรักไม่มีแบบแผนตายตัวเหมือนนิทาน  ไม่สามารถเขียนให้มันไปถึงตอนจบแบบที่เราอยากให้เป็นได้  แต่เราแค่ต้องทำมันให้ดีที่สุด ถ้าตอนจบมันไม่เป็นอย่างที่ใจเราฝัน ก็อย่าไปเสียใจ ทุกอย่างเริ่มต้นใหม่ และก็เก็บมันไว้ในใจ  อย่าทำให้มันเป็นแผล แต่มองให้เป็นเรื่องที่สวยงาม หนูไม่เคยหมดศรัทธาในความรักค่ะ…”

เรื่อง : วันวิสาข์ ดอกเงิน / ภาพ : จุมพล นพทิพย์