คนอื่นอาจมองมวยไทยเป็นกีฬาที่รุนแรง แต่สำหรับตัวหนูแล้ว มวยไทยเป็นกีฬาที่หนูชอบและหลงรัก และมีความสุขทุกครั้งที่ได้ขึ้นชก ซึ่งเราไม่ค่อยกลัวเรื่องเจ็บตัวอยู่แล้ว ไม่ได้กลัวว่าจะเสียโฉมหรือไม่สวย เพราะเรารักการชกมวย เสียงเน้นย้ำของ “ปิ่น-หทัยรัตน์ ณ เชียงใหม่” ที่ชาวโซเชียลรู้จักเธอดีในฉายา “คุณหมอนักมวยหน้าหวาน” และในฐานะ “แพทย์สนามมวย” ซึ่งในอดีตก่อนที่จะแขวนนวมเพื่อมาสวมบทบาทคุณหมอ อดีตเธอก็เคยเป็นนักมวยที่มีฝีไม้ลายมือไม่ธรรมดา โดยใช้ชื่อในวงการว่า “ปิ่นหทัย เอกบาร์เบอร์” ซึ่งวันนี้ “ทีมวิถีชีวิต” จะพาไปทำความรู้จัก พร้อมฟังเรื่องราวชีวิตของเธอกัน…

      “ปิ่นหทัยรัตน์คุณหมออดีตนักมวยคนสวยวัย 23 ปี เล่าประวัติให้เราฟังว่า เธอเกิดและเติบโตที่ อ.จอมทอง จ.เชียงใหม่ โดยเป็นลูกสาวคนเดียวของ คุณพ่อพรมมินทร์ จุมปาจม และ คุณแม่อรวรรณ ณ เชียงใหม่ ซึ่งชีวิตในช่วงวัยเด็กนั้น  ด้วยความที่ตัวเธอเองเป็นเด็กผู้หญิงเพียงคนเดียวในละแวกบ้าน เพราะลูกพี่ลูกน้อง รวมถึงเพื่อน ๆ รุ่นเดียวกัน ส่วนใหญ่จะเป็นเด็กผู้ชาย ทำให้เธอจึงเล่นอะไรแบบเด็กผู้ชายมาตั้งแต่เด็ก จนติดนิสัยห้าว ๆ ลุย ๆ แบบผู้ชายเรียกว่าเราเกิดและโตมาในค่ายมวยก็ได้ เพราะตั้งแต่จำความได้ เราก็เห็นเวทีมวยแล้วคุณหมอสาวเล่าถึงปัจจัยที่เป็นจุดเริ่มเส้นทางนักมวยของเธอ

       ก่อนที่จะเล่าต่อว่า ด้วยความที่คุณพ่อของเธอนั้นเป็นนักมวยเก่า ซึ่งปัจจุบันคุณพ่อได้ยึดอาชีพเปิดร้านบาร์เบอร์ตัดผม ควบคู่กับการทำค่ายมวยชื่อ เอกบาร์เบอร์ จึงทำให้เธอเองก็อยากเป็นนักมวยคนหนึ่งในสังกัดของคุณพ่อด้วย โดยคุณหมอปิ่นเล่าว่า ค่ายมวยของคุณพ่อนี้ไม่ได้เป็นค่ายใหญ่โต และคุณพ่อก็ไม่ได้เปิดเพื่อจะทำเป็นธุรกิจ แต่เปิดเพื่อสอนเด็ก ๆ แถวบ้านที่สนใจกีฬามวยไทย ให้ได้มีพื้นที่ฝึกซ้อมเรียนรู้กีฬาชนิดนี้ ทั้งนี้ก็เพื่อให้เด็ก ๆ ได้มีวิชา มีอาชีพ และสามารถหารายได้ โดยคุณพ่อมักจะพานักมวยในค่ายไปขึ้นชกตามเวทีงานวัดต่าง ๆ

       คุณหมอนักมวยคนสวยยังเล่าอีกว่า จริง ๆ ชีวิตวัยเด็กเธอเองก็ไม่รู้เรื่องหมัดมวย แถมไม่ได้คิดว่าจะเป็นนักมวยขึ้นต่อยอาชีพจริงจัง โดยตอนนั้นคิดแค่เข้าไปวิ่งเล่นในค่ายมวยคุณพ่อเท่านั้น ซึ่งพอเริ่มโต ช่วงเรียน ม.1 ก็ได้ลองขึ้นซ้อมมวยบ้าง แต่ก็ยังไม่จริงจังถึงขั้นขึ้นชกบนเวที จนต่อมาพอได้ติดตามไปช่วยคุณพ่อที่พานักมวยของค่ายไปขึ้นชกตามเวทีงานวัดบ่อย ๆ ก็ทำให้เธออยากขึ้นชกบ้าง จึงตัดสินใจขอคุณพ่อ ซึ่งแน่นอนว่าทางคุณพ่อสนับสนุนเธอเต็มที่ แต่ฝั่งคุณแม่กับญาติ ๆ ไม่เห็นด้วย ไม่สนับสนุนให้เป็นนักมวย แต่สุดท้ายเธอก็แอบคุณแม่ไปต่อยมวยอยู่ดี

      ’พอแม่มารู้ทีหลังว่าเราแอบขึ้นชก ปรากฏทั้งเราทั้งคุณพ่อโดนคุณแม่สวดยับเลยค่ะ (หัวเราะ) แต่พอชกไปเรื่อย ๆ สุดท้ายคุณแม่ก็ยอมแพ้ ไม่ห้าม แต่ก็มีห่วงเราบ้าง เพราะกลัวลูกสาวจะเจ็บตัว คุณหมอเล่าให้เราฟังเรื่องนี้

       สำหรับประสบการณ์ขึ้นชกบนเวทีมวยครั้งแรกนั้น คุณหมอปิ่นบอกว่าเวทีแรกที่ได้ขึ้นชกก็เป็นเวทีมวยงานวัด ซึ่งครั้งแรกที่ได้ขึ้นไปอยู่บนเวทีมวยจริง เป็นอะไรที่ทำให้รู้สึกตื่นเต้นมาก โดยเธอจำได้ว่าได้ค่าตัวจากการชกมวยครั้งแรกประมาณ 300-400 บาท ซึ่งไฟต์แรกที่ชกนั้น เธอแพ้คะแนนคู่แข่ง จึงรู้สึกเสียใจบ้างแต่ไม่หมดกำลังใจ คิดว่าฝีมือยังไม่เก่งพอจึงทำให้เธอ  ขยันฝึกซ้อมมากขึ้นในเวลาต่อมา ซึ่งหลังจากการชกครั้งแรกจบไปเธอก็ห่างเวทีอยู่สักพักใหญ่ เพราะด้วยความที่ช่วงนั้นมวยหญิงไม่ค่อยมีคู่ชก และยังไม่ค่อยได้รับความนิยม โดยกว่าที่จะได้กลับมาขึ้นชกอีกครั้งก็เป็นช่วงที่เธอเรียนอยู่ชั้น ม.4 ซึ่งการ กลับมาขึ้นชกบนเวทีอีกครั้ง เธอคิดว่าจะทำให้ดีที่สุดเพราะ อยากได้แชมป์สักรายการหนึ่งเพื่อให้คุณพ่อภูมิใจ ทำให้ช่วงก่อนที่จะขึ้นชกนั้น เธอจึงฟิตซ้อมร่างกายแบบจริงจังมาก โดยก่อนขึ้นชกประมาณ 2 เดือน ช่วงนั้นเธอต้องตื่นตี 4 เพื่อออกไปวิ่ง 8 กิโลเมตร จากนั้นจึงกลับมาอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเพื่อให้ทันไปขึ้นรถไปโรงเรียน เพราะบ้านอยู่ห่างจากโรงเรียน 30 กิโลเมตร และหลังเลิกเรียนช่วง 4-5 โมงเย็น เธอก็จะมาลงซ้อมมวยไปจนถึงประมาณ 2 ทุ่ม หลังจากนั้นคุณพ่อก็จะมายึดโทรศัพท์เพื่อให้เธอรีบเข้านอน ซึ่งตอนนั้นทั้งหมดนี้เป็นกิจวัตรประจำวันในชีวิตของเธอ และจากการทุ่มเทฝึกซ้อมนั้น ในการขึ้นชกไฟต์ที่ 2 เธอสามารถเอาชนะน็อกคู่ต่อสู้ได้ แล้วหลังจากนั้นเป็นต้นมาเธอก็มีแมตช์ให้ชกเข้ามาเรื่อย ๆ ซึ่งเธอก็ชนะน็อกติดต่อกันถึง 10 ไฟต์ โดยตอนนั้นเธอได้ค่าตัวอยู่ที่ประมาณ 6,000 บาท

      ’ตอนแรกเราคิดแค่ว่าจะต่อยเอาแชมป์มาให้พ่อภูมิใจสักแชมป์เท่านั้น แต่พอได้แชมป์แรกในรุ่น 43 กิโลกรัม ทำให้เราอยากได้ต่อ ซึ่งเราก็สามารถคว้าแชมป์มาได้อีก 3 เส้น เป็นรุ่น 43 กิโลกรัม 1 ครั้ง และรุ่น 45 กิโลกรัมอีก 2 ครั้ง คุณหมอนักมวยหน้าหวานคนเดิมกล่าว พร้อมบอกว่า สถิติการขึ้นชกมวยไทยบนเวทีในรายการต่าง ๆ ของเธอถือว่ายังน้อย โดยช่วงที่ยังชกมวยนั้น เธอได้ขึ้นชกไปประมาณ 38 ไฟต์ ส่วนผลการแข่งก็คือ ชนะ 30 ไฟต์ ที่เป็นการชนะน็อกถึง 10 กว่าไฟต์ และแพ้เพียง 8 ไฟต์เท่านั้น ทั้งนี้ คุณหมอบอกว่า นอกจากชกมวยไทยบนเวทีมวยแล้ว เธอยังเคยขึ้นชกมวยแบบคาดเชือกมาแล้ว นอกจากนั้นยังเคยขึ้นชกมวยรายการ K-1 ที่ประเทศจีนมาแล้วอีกด้วย

มาดนักมวยสวยหวานแกร่ง

      ’ตอนที่มีโปรโมเตอร์มาทาบทามให้เราไปชกรายการ K-1 ที่ประเทศจีน แม้จะไม่รู้วิธีหรือสไตล์การชกมวยแบบ K-1 เลย แต่เราก็ไม่กลัว และมองว่าเป็นโอกาสจึงอยากลองดูก็   ตอบตกลงไปทันที ซึ่งคุณพ่อก็สนับสนุนให้เราไปเพื่อหาประสบการณ์ใหม่ ๆ ปรากฏว่าแมตช์นั้นเราแพ้คะแนนกลับมาคุณหมอเล่าให้ฟังถึงการชกรายการ K-1

       ส่วนเส้นทางชีวิตที่พลิกผันของเธอ จาก นักมวย มาเป็น คุณหมอนักมวย นั้น เจ้าตัวเล่าว่า หลังจากกลับจากประเทศจีนมาก็เป็นช่วงที่เธอขึ้นชั้น ม.6 แล้วเป็นช่วงรอยต่อที่ต้องเลือกว่าจะชกมวยต่อ หรือจะเรียนต่อปริญญาตรี ซึ่งเธอเผยว่า จริง ๆ อยากจะชกมวยต่อ แต่ก็มองความเป็นจริงก็เลยเลือกหยุดเส้นทางนักมวยไปก่อนเพื่อเรียนต่อ โดยเธอเลือกเรียนปริญญาตรี สาขาแพทย์แผนไทยประยุกต์ มหาวิทยาลัยนเรศวร เนื่องจากตอนนั้นคุณตาเธอเป็นผู้ป่วยติดเตียง จึงอยากมีวิชาแพทย์แผนไทยประยุกต์มาดูแลคุณตาที่บ้าน ซึ่งในช่วงจังหวะที่เส้นทางชีวิตเปลี่ยนนี้ เธอบอกว่าทำให้ตารางชีวิตเปลี่ยนไปเลย โดยเธอต้องถอดนวมและหันมาจับหนังสือตั้งใจเรียนเต็มที่ เพื่อที่จะสอบเข้ามหาวิทยาลัยให้ได้ตามที่ตั้งใจ ซึ่งเมื่อสอบเข้าได้ เธอก็ต้องทุ่มเทให้กับการเรียนจนเหมือนเดินออกมาจากวงการมวยเลย เพราะแค่เรียนหนังสืออย่างเดียวเธอก็หมดเวลาหมดแรงแล้ว ทำให้ไม่มีเวลาฝึกซ้อม ไม่มีเวลาออกกำลังกายฟิตซ้อมร่างกาย จนหลังจากเรียนจบออกมาก็ได้ทำงานที่ โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลดอยอินทนนท์ ก็คิดว่าน่าจะมีเวลาในการซ้อมมวยบ้าง แต่กลายเป็นว่าหลังจากทำงานก็ยังไม่มีเวลาซ้อมมวยอยู่ดี

บทบาทคุณหมอดูแลผู้ป่วย

       ขณะที่เส้นทางสู่การเป็น แพทย์สนามมวย นั้น เจ้าตัวเล่าว่า หลังจากทำงานอยู่พักหนึ่ง ก็มีโปรโมเตอร์มวยท่านหนึ่งที่รู้จักกันรู้ว่าเธอเรียนจบแล้วจึงติดต่อมา แต่ไม่ได้ติดต่อให้ไปขึ้นชก ติดต่อให้ไปเป็นแพทย์ประจำสนามมวย เพราะเห็นว่าเธอเป็นนักมวยเก่า น่าจะรู้ว่าเวลานักมวยโดนชกหนัก ๆ แล้วมีอาการจะรู้ว่าเป็นอะไรและต้องทำยังไง โดยเธอได้รับปากตกลงรับทันที เพราะเธอจะได้มีโอกาสเข้าไปสัมผัสบรรยากาศในสนามมวยที่ห่างหายไปนานอีกครั้ง ซึ่งครั้งแรกที่ได้กลับเข้าสนามมวยนั้น เธอบอกว่าก็จะรู้สึกแปลก ๆ หน่อย เพราะครั้งนี้เปลี่ยนบทบาทจากนักมวยเป็นแพทย์สนาม แต่กระนั้นเธอก็ดีใจ สนุก และมีความสุขมาก ซึ่งแมตช์แรกที่ได้ไปทำหน้าที่แพทย์ในสนามมวย หลายคนที่ไม่รู้จักก็สงสัยว่ามีแพทย์สนามเป็นผู้หญิงด้วย ส่วนถ้าเป็นนักมวยเก่า ๆ ก็จะจำเธอได้บ้าง แต่ก็ไม่รู้เป็นอะไร เมื่อเธอไปเป็นแพทย์สนามมวยรายการไหน รายการนั้นจะต้องมีการน็อกกันตลอด ขณะที่ทางผู้จัดมวยเห็นว่าเธอคล่องตัวดี ก็เลยติดต่อให้ไปเป็นแพทย์สนามมวยอยู่เรื่อย ๆ ในพื้นที่ จ.เชียงใหม่ และก็ได้มีโอกาสเข้าทำหน้าที่เป็นแพทย์สนามมวยในกรุงเทพฯ อยู่บ้าง

      ’เอาจริง ๆ หลังจากได้กลับมาสัมผัสบรรยากาศในสนามมวยอีกครั้ง ทำให้เราอยากจะกลับมาสวมบทบาทนักมวยขึ้นชกอีกครั้งเหมือนกัน เพียงแต่ยังไม่มีโอกาสคุณหมออดีตนักมวยคนสวยกล่าว

ลุคเฟี้ยว ๆ กับคุณพ่อพรมมินทร์

       อย่างไรก็ดี ล่าสุดคุณหมอปิ่นก็มีโอกาสจะได้หวนคืนสังเวียนมวยอีกครั้ง เมื่อมีโปรโมเตอร์มาติดต่อทาบทามให้ไปชกมวยไทยที่ประเทศจีน เพียงแต่ในเบื้องต้นเธอยังไม่ได้ตอบรับหรือปฏิเสธ โดยขอให้เธอมีเวลาลองฟิตซ้อมร่างกายให้กลับมาเหมือนเดิม หรือใกล้เคียงกับในช่วงที่เป็นนักมวยเสียก่อน เพราะที่ผ่านมาไม่ได้ซ้อมเลย โดยเธอแค่ซ้อมเล่น ๆ กับคุณพ่อ แล้วถ่ายคลิปลงโซเชียลไว้ดูเล่น ๆ ซึ่งเธอรู้ดีว่าถ้าไปชกตอนที่ยังไม่พร้อม มีแต่จะโดนคู่ต่อสู้ยำกลับมาเสียเปล่า ๆ และอีกอย่างก็ต้องขออนุญาตทั้งคุณพ่อคุณแม่ก่อน เพราะหลัง ๆ มานี้คุณพ่อก็เริ่มไม่สนับสนุนให้ขึ้นชกมวยเหมือนแต่ก่อนแล้ว เพราะกลัวลูกเสียโฉม กลัวลูกเจ็บตัว แต่ใจเธอเองยังดื้อที่จะขอขึ้นชกอีก…

      ’ครั้งนี้ก็ไปอ้อนวอนขอทั้งน้ำตาเลย ขออยู่นาน ขอทุกวัน จนท่านใจอ่อนยอมให้เราชก แต่ย้ำว่าขอให้ฟิตซ้อมให้ร่างกายพร้อมสมบูรณ์ก่อน ซึ่งเราคิดและวางแผนไว้แล้ว เพราะประมาณเดือน ก.ค. ก็จะได้ลงไปบรรจุอยู่ที่โรงพยาบาลใกล้บ้าน จึงน่าจะมีเวลาฟิตซ้อมร่างกายมากขึ้น ซึ่งปีนี้ตั้งเป้าไว้ว่าจะต้องขึ้นชกอีกครั้งให้ได้“ คุณหมอคนสวยกล่าว

       ในช่วงท้ายของบทสนทนากับ ทีมวิถีชีวิต ทาง คุณหมอปิ่นหทัยรัตน์ หรือชื่อในวงการมวยคือ ปิ่นหทัย เอกบาร์เบอร์ บอกย้ำว่า ในอนาคตคงได้เห็นเธอกลับขึ้นสังเวียนชกอีกครั้งอย่างแน่นอน แต่ตอนนี้เธอขอทำงานในหน้าที่ในส่วนของการเป็นหมอเพื่อดูแลคนไข้ให้ดีที่สุดก่อน ซึ่งตอนนี้การได้ดูแลคนไข้ที่ทำอยู่ก็เป็นทั้งหน้าที่และเป็นอีกงานที่เธอรักเช่นกัน แต่หากมีโอกาสก็จะขึ้นชกมวยอีกแน่นอน เพราะกีฬามวยไทยเป็นสิ่งที่ตัดไม่ได้ และหลงรักเช่นเดียวกัน ส่วนคำถามสำคัญที่คงมีหนุ่ม ๆ แฟนคลับคุณหมอคนสวยอยากที่จะรู้คำตอบมากที่สุด นั่นก็คือเวลานี้ มีเจ้าของครอบครองหัวใจแล้วหรือยัง??“ ซึ่งทางคุณหมอคนสวยยิ้มเขิน ๆ ก่อนที่จะตอบว่า ยังไม่ได้คิดเรื่องนี้จริงจัง เพราะอยากทำงานที่รับผิดชอบให้ดีที่สุดเสียก่อน ดังนั้นคำตอบของคำถามนี้คือ

      ตอนนี้ยังโสด 100%”.

ดูแลช่วยเหลือผู้ป่วยตามบ้าน

‘ใช้ความดัง’ เพื่อ ‘ช่วยเหลือผู้ป่วย’

       หลังจากที่ได้กลายเป็นอีกหนึ่ง “คนดังในโซเชียล” และเป็นที่รู้จักในวงกว้างขึ้น “คุณหมอปิ่น-หทัยรัตน์ ณ เชียงใหม่” บอกว่า เธอได้นำผลดีจากเรื่องนี้มาต่อยอด ซึ่งหลังจากที่เธอเป็นที่สนใจ ก็ทำให้มีคนมาติดต่อให้ไปทำงานต่าง ๆ เพิ่มมากขึ้น ส่งผลให้มีรายได้เข้ามาเพิ่ม โดยเธอก็ได้นำรายได้เหล่านี้แบ่งมาใช้เป็นเงินทุนเพื่อ ทำงานจิตอาสา นั่นคือการ ดูแลคนป่วยนอกเวลางาน โดยทุก ๆ วันเสาร์-วันอาทิตย์ เธอจะออกไปทำหน้าที่ ’เป็นจิตอาสาเพื่อช่วยดูแลผู้ป่วยที่ต้องนอนติดเตียงตามบ้าน“ ที่ทางครอบครัวอาจจะขาดความพร้อมในการดูแล และก็ได้นำเงินที่ได้จากการไปทำงานเสริม ไม่ว่าจะเป็นแพทย์สนามมวย การไปออกรายการต่าง ๆ มาซื้อหาอุปกรณ์ของใช้ที่จำเป็นมอบให้กับผู้ป่วยเหล่านี้ โดยเธอกล่าวถึงเรื่องนี้พร้อมรอยยิ้มว่า ภารกิจนี้ก็เป็นอีกสิ่งที่เธอรัก ’มีความสุขทุก ๆ ครั้งที่ได้ทำ“.

บดินทร์ ศักดาเยี่ยงยงค์ : รายงาน