กรณีนี้ก็ทำให้เกิดคำถาม…ปัญหาความรุนแรงในสังคมไทยยุคนี้ทำไมถึงไปกันใหญ่ได้ขนาดนี้?? ทั้ง ๆ ที่มีหลาย ๆ ภาคส่วน หลาย ๆ องค์กร ที่พยายามเรียกร้องและรณรงค์ต่อเนื่อง…เพื่อให้ “ยุติการใช้ความรุนแรง” ทั้งนี้ เมื่อเร็ว ๆ นี้ได้มีการจัดเวทีเสวนาเกี่ยวกับปัญหาดังกล่าว เพื่อสะท้อนให้สังคมตระหนักถึงปัญหานี้ ซึ่งมีการเสนอให้ “สังคมไทย-คนไทย” ช่วยกันป้องกันไม่ให้เกิดเหตุร้าย ๆ ด้วยการ…

“ร่วมกันจับสัญญาณร้าย” ก่อนเกิดเหตุ

“ป้องกัน” มิให้เกิดเหตุ หรือเหตุที่เกิด…

ไม่ยกระดับ “ไม่กลายเป็นความรุนแรง”

สำหรับเวทีเสวนาที่ “ทีมสกู๊ปเดลินิวส์” ระบุข้างต้น…คือเวทีเสวนา “หยุดสัญญาณร้าย…ก่อนกลายเป็นข่าวพาดหัว” จัดโดยความร่วมมือของ มูลนิธิหญิงชายก้าวไกล และ สปา ฮาคูโฮโด (SPA HAKUHODO) ภายใต้การสนับสนุนของ สสส. โดยเป็นหนึ่งในกิจกรรมเนื่องในเดือนรณรงค์ยุติความรุนแรงต่อผู้หญิงและเด็ก ที่มีเป้าหมายเตือนให้สังคม เฝ้าสังเกต และไม่เพิกเฉยต่อสัญญาณอันตราย ที่อาจจะนำไปสู่การเกิดสถานการณ์ความรุนแรงต่อคนรอบข้าง คนใกล้ชิด…

ในเวทีดังกล่าว ทาง ดร.นพ.ไพโรจน์ เสาน่วม ผช.ผจก.สสส. สะท้อนไว้ว่า… สังคมจำเป็นต้องมีเครือข่ายทำงานเชิงรุก รวมไปถึงถอดบทเรียนเหตุความรุนแรงต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น เพื่อที่จะนำไปสู่การหาแนวทางแก้ไขป้องกันตั้งแต่ต้นทาง เพราะหากไม่มีการป้องกั “ความรุนแรง” ที่เกิดขึ้นก็จะ “ยิ่งทำให้เสี่ยงต่อการเกิดสุขภาวะสังคมที่ไม่ดี” อีกด้วย!! และพร้อมกันนี้ก็ยังมีการฉายภาพไว้อีกว่า… จากข้อมูลที่มูลนิธิหญิงชายก้าวไกลสำรวจไว้ พบว่า… ปี 2565 มีผู้หญิงที่ถูกใช้ความรุนแรงเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ที่สำคัญนั้น…เหยื่อเกือบ 10% มักถูกกระทำซ้ำ ๆ กับมีแนวโน้มถูกกระทำรุนแรงเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ…

ทางด้าน พิชัยพัชร์ ตนานนท์ ผู้บริหารของสปา ฮาคูโฮโด ระบุไว้ว่า… ต้องยอมรับว่า…ปัจจุบันสังคมไทยยังมีความรุนแรงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง แต่ ที่ น่าตกใจก็คือ…คนกลับชินชา จนมองเป็นเรื่องปกติที่เกิดขึ้นได้!! ทำให้เครือข่ายที่ทำงานเรื่องนี้จึงช่วยกันระดมความคิดเห็น รวมถึงรวบรวมเคสของผู้ที่ถูกกระทำความรุนแรง จนเกิดเป็นแนวคิดในการสื่อสารเพื่อให้ความรู้ต่อสังคม ผ่านวิธี “ฝึกสังเกตเพื่อจับสัญญาณ” เพื่อไม่ให้ลุกลามเป็นความรุนแรงที่มากขึ้นจนอาจกลายเป็นข่าวหน้า 1 ได้ โดยแนวทางสื่อสารเรื่องนี้…ก็จะมีคำแนะนำเกี่ยวกับสัญญาณต่าง ๆ ว่ามีอะไรบ้างที่ควรสังเกต เพื่อเฝ้าระวังเหตุร้าย…

ทั้งนี้ จรีย์ ศรีสวัสดิ์ หัวหน้าฝ่ายส่งเสริมภาคีเครือข่าย มูลนิธิหญิงชายก้าวไกล ได้เผยข้อมูลสรุป สถานการณ์ความรุนแรงในครอบครัว จากที่สื่อได้มีการรายงานข่าวซึ่งพบว่า… ในปี 2565มีรายงานข่าวถึง 1,131 เหตุการณ์ที่เกี่ยวข้องกับการใช้ความรุนแรง โดยที่… ฆ่ากันตายในครอบครัวมีรายงานข่าวสูงสุด มากถึง 534 ข่าว รองลงมาคือ… ทำร้ายกัน 323 ข่าว, ฆ่าตัวตาย 155 ข่าว และข่าว ความรุนแรงทางเพศของคนในครอบครัว มีรายงาน 64 ข่าว โดยการฆ่ากันนั้น เกิดเหตุระหว่างสามีภรรยาสูงสุด มีรายงานข่าว 213 ข่าว และในจำนวนดังกล่าวนี้เป็นกรณี สามีฆ่าภรรยา สูงถึง 157 ข่าว

“เฉพาะที่เป็นข่าวสามีฆ่าภรรยานั้น เมื่อลงลึกก็พบตัวเลขน่าตกใจ โดยที่เกิดจากสาเหตุหึงหวง หรือระแวงว่าภรรยานอกใจ มากถึง 94 ข่าว รองลงมา ได้แก่ การง้อไม่สำเร็จ 46 ข่าว ส่วนวิธีการที่ใช้มากที่สุด อันดับหนึ่ง…ใช้ปืนยิง อันดับสอง…ใช้ของมีคม อันดับสาม…ตบตีทำร้ายร่างกายจนเสียชีวิต” …นี่เป็นตัวเลขจากการ “ถอดรหัสข่าวร้าย” ที่สื่อรายงานในปี 2565

ทางหัวหน้าฝ่ายส่งเสริมภาคีเครือข่ายย้ำไว้ว่า… ที่น่าห่วงที่สุดนั้น ประการแรก…คนส่วนใหญ่มองปัญหาเป็นเรื่องในครอบครัว ประการที่สอง…จากการยึดติดระบบคิดแบบชายเป็นใหญ่ ซึ่งทำให้การแก้ไขปัญหาความรุนแรงทำได้ไม่ดีอย่างที่ควร โดยที่ “แนวทางที่ดี” ในขณะนี้…อาจ “ต้องเริ่มจากการป้องกัน” โดยระดับประชาชน…อาจจะเริ่มต้นจากการ จับสัญญาณความรุนแรงในครอบครัวตั้งแต่ระยะแรก เช่น การหึงหวง การบังคับข่มขู่ การรุกราน ส่วนระดับหน่วยงานนั้น… ควรเพิ่มการทำงานเชิงรุกด้วยการบูรณาการกับหน่วยงานต่าง ๆ …เป็น “ข้อเสนอแนะถึงทุกภาคส่วน” ที่เกี่ยวข้องกับปัญหานี้

เพราะ… “ความรุนแรงในครอบครัว” นอกจากจะ “สร้างบาดแผลทางร่างกายกับจิตใจ” ให้กับเหยื่อแล้ว…ยังเป็น “ตัวการบ่อนทำลายสังคมไทย” อีกด้วย โดยเรื่องนี้ ดร.วราภรณ์ แช่มสนิท สมาคมเพศวิถีศึกษา สะท้อนไว้ว่า…ความรุนแรงในครอบครัวเป็นปัญหาที่มีมานาน และ นับวันยิ่งทวีความร้ายแรงมากขึ้น!! โดยยืนยันว่า…ปัญหานี้กำลังเป็นปัญหาร้ายแรงที่ทุกองคาพยพของสังคมไทยต้องร่วมกันแก้ไขเร่งด่วน เพราะไม่ได้สร้างความทุกข์และความเสียหายเฉพาะผู้ถูกกระทำ แต่จะส่งผลกระทบเรื้อรังไปถึงคนรุ่นต่อ ๆ ไปของสังคมด้วย ที่ต้องเติบโตในครอบครัวและสังคมที่เต็มไปด้วยการใช้ความรุนแรง!!

“ไม่ว่าเราจะพยายามพัฒนาเศรษฐกิจและการเมืองให้ก้าวหน้าไปอย่างไร หากปัญหาความรุนแรงในครอบครัวยังไม่ได้รับการแก้ไข ปัญหานี้ก็จะกลายเป็นตัวบ่อนเซาะทำลายรากฐานคุณภาพชีวิตของคนในสังคม และเราก็จะยิ่งเห็นผลกระทบรุนแรงเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ ในอนาคต” …นี่เป็น “คำเตือนน่าคิด” ถึง “ผลกระทบในอนาคต”…

ถ้า “ปัญหารุนแรงในครอบครัวยิ่งลาม”

ถ้า “ไม่หยุดวงจรร้ายให้ได้โดยเร่งด่วน”

“สังคมไทยยิ่งปั่นป่วนสาหัสแน่นอน!!”.