เรื่องการตามตัว “บิ๊กอ๊อด” พล.อ.พิศาล วัฒนวงษ์คีรี อดีตแม่ทัพภาคที่ 4 สส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย ดูเหมือนใกล้จะยุติโดยการที่พรรคอาจไม่ต้องทำอะไร เพราะเจ้าตัวรับจบเอง เมื่อวันที่ 15 ต.ค. “เสี่ยอ้วน”ภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกฯ และรมว.กลาโหม บอกว่า บิ๊กอ๊อดได้ส่งตัวแทนมายื่นเอกสารที่แผนกทะเบียนพรรค ขอลาออกจากพรรค ทำให้สมาชิกภาพ สส.สิ้นสุดไปด้วยตามรัฐธรรมนูญที่ สส.ต้องสังกัดพรรค โดยนายขจิตร ชัยนิคม ได้ขึ้นมาเป็น สส.แทน

“บิ๊กอ๊อด” เขียนจดหมายถึงพรรค ความว่า “วันที่ 14 ต.ค. ขณะนี้ผม ( พล.อ.พิศาล ) อยู่ในการรักษาอาการป่วยและอยู่ในระหว่างการพักฟื้น ผมยื่นใบลากับสภาผู้แทนราษฎรและได้รับอนุมัติตามระเบียบแล้ว แต่ได้ทราบข้อเท็จจริงว่า ได้มีการพยายามนำเอาประเด็นของผมไปเคลื่อนไหว ทำให้เกิดการขัดแย้งในสังคมและมีการผูกโยงเพื่อให้มีผลกระทบกับพรรคเพื่อไทย ซึ่งผมเป็นสมาชิกและดำรงตำแหน่ง สส.อยู่ ทั้งที่พรรคเพื่อไทยไม่ได้มีความเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์แต่อย่างใด”

“เพื่อมิให้พรรคเพื่อไทยได้รับผลกระทบอันเนื่องมาจากผมเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ผมจึงขอลาออกจากการเป็นสมาชิกพรรคเพื่อไทย ขณะเดียวกันถือว่าเป็นขัดสมาชิกสภาพการเป็นสภาผู้แทนราษฎร เพื่อไม่ให้เป็นภาระของสภาผู้แทนราษฎรราษฎร ทั้งนี้ ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป สำหรับกรณีที่เกิดขึ้น ผมจะขอชี้แจงด้วยตนเองเมื่อการป่วยทุเลา จึงเรียนมาเพื่อโปรดทราบและกรุณาเดินการตามระเบียบกฎหมายต่อไป”

เสี่ยอ้วนบอกว่า “ที่มีคนบอกว่า ผมไม่ทำอะไรเลยและจะฟ้องมาตรา 157 ผมก็ดำเนินการแล้ว และการดำเนินการหาตัว พล.อ.พิศาล ก็เป็นอย่างเจ้าหน้าที่ชี้แจง ก็เห็นเป็นข่าวที่ไปบุกบ้าน ไปที่จังหวัดสงขลา ซึ่ง ผบ.ตร. และ ผู้บัญชาการภาคไปเองด้วยซ้ำ และทราบมาว่ามีการแจ้งตำรวจสากลด้วย หลังจากนี้เป็นหน้าที่ตำรวจดำเนินการ” และว่า การลาออกของบิ๊กอ๊อด ไม่เกี่ยวกับจะทำให้สถานการณ์จังหวัดชายแดนภาคใต้ดีขึ้นหรือไม่ เพราะเรื่องนี้เป็นปัญหาระดับโครงสร้าง และ มีนักวิชาการระบุว่าเป็นการต่อสู้เพื่อเอกราช

ขณะที่นายกฯ อิ๊งค์ ให้สัมภาษณ์ว่า เรื่อง พล.อ.พิศาล ต้องปล่อยไปเป็นตามกระบวนการทางกฎหมาย เพิ่งได้รับหนังสือลาออกเมื่อช่วงเช้า พรรคจะประชุมกันว่าจะทำอย่างไรบ้าง แต่เรารอกระบวนการทางกฎหมาย และได้สั่งการไปยังเจ้าหน้าที่ตำรวจแล้ว ที่มีข่าวว่า พล.อ.พิศาล ไปอยู่ญี่ปุ่น ก็ต้องให้ตำรวจสากล (อินเตอร์โพล) เป็นผู้ติดตาม และยังบอกด้วยว่า พรรคร่วมรัฐบาลนัดรับประทานอาหารร่วมกันวันที่ 21 ต.ค.นี้ ซึ่งจะพูดคุยเรื่องความร่วมมือกันในหลายเรื่อง

นายวิสุทธิ์ ไชยณรุณ ประธานคณะกรรมการประสานงานพรรคร่วมรัฐบาล (วิปรัฐบาล) ในฐานะประธาน สส.พรรคเพื่อไทย กล่าวว่า เมื่อบิ๊กอ๊อด ลาออกแล้ว ก็ถือว่าขาดจากความเป็น สส. เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไม่อยากไปโทษใคร เพราะเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อ 20 ปีก่อน จากนี้เป็นเรื่องของกระบวนการยุติธรรมไม่เกี่ยวกับพรรคเพื่อไทย

“จะให้พรรครับผิดชอบเรื่องอะไร ก่อนหน้านี้ทุกฝ่ายถามทุกสัปดาห์ว่าเมื่อไรจะลาออก หรือจะให้ขับออก แต่วันนี้ พล.อ.พิศาล แสดงสปิริตความเป็นลูกผู้ชาย ด้วยการลาออกจากการเป็นสมาชิกพรรคและขาดจากความเป็น สส.ก็ถือว่าจบแล้ว พรรคเพื่อไทยไม่จำเป็นต้องทำอะไรอีก ไม่ใช่การปัดความรับผิดชอบอะไรทั้งสิ้น ไม่ใช่หน้าที่นายกฯ ที่จะต้องไปตามจับใคร เป็นหน้าที่ของกระบวนการยุติธรรม”

ขณะที่ท่าทีของฝ่ายค้าน นายณัฐวุฒิ บัวประทุม สส. บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน (ปชน.) กล่าวว่า การลาออกของ พล.อ.พิศาล เป็นความรับผิดชอบเบื้องต้น ซึ่งไม่รู้ว่าเกิดขึ้นจากความจริงใจที่อยากจะแก้ไขปัญหานี้ หรือดำเนินการตามคำแนะนำของใคร อยากเห็นรัฐบาลมุ่งมั่นตั้งใจที่มากกว่านี้ ในการนำตัวผู้ถูกดำเนินคดีมาเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม

“พรรคประชาชนในฐานะวิปฝ่ายค้านจะติดตามเรื่องนี้ เพื่อคืนความเป็นธรรมให้กับประชาชน จะยื่นขอเปิดอภิปรายในสมัยประชุมหน้า ซึ่งจะมีการนำเรื่องนี้เป็นหนึ่งในเรื่องที่จะอภิปรายรัฐบาล” นายณัฐวุฒิ กล่าว

ถือเป็นอีกหนึ่งเรื่องที่เข้าคิวรออภิปราย ไม่แน่ใจว่า จะเป็นอภิปรายทั่วไปหรือไม่ไว้วางใจ รอดูปีหน้า

อีกประเด็นที่น่าสนใจคือ เรื่องที่ “โกเกี๊ยะ พิพัฒน์ รัชกิจประการ” รมว.แรงงานหาทางเพิ่มเงินสงเคราะห์บุตรสำหรับผู้ประกันตนตามมาตรา 33 ให้ถึง 3,000 บาทต่อเดือน ต่อคน จ่ายจนเด็กอายุ 7 ปี นายบุญสงค์ ทัพชัยยุทธ์ ปลัดกระทรวงแรงงาน กล่าวว่า ขณะนี้สำนักงานประกันสังคม ( สปส.) อยู่ระหว่างการศึกษาว่าควรจะพัฒนาสิทธิประโยชน์อะไรให้กับผู้ประกันตนบ้าง เช่น การเพิ่มเงินสงเคราะห์บุตร จะดูว่าเงินในกองทุนฯ จะสามารถปรับเพิ่มในส่วนนี้ได้หรือไม่ แต่เบื้องต้น ในปัจจุบันได้ปรับเพิ่มให้แล้วเป็น 1 พันบาทต่อเดือน ซึ่งอยู่ระหว่างรอประกาศเป็นกฎหมาย

“ยืนยันว่า หากเพิ่มเงินไม่ได้ส่งเด็กให้ปู่ย่าตายายเลี้ยง นี่เป็นเพียงความคิดนอกกรอบเพื่อสร้างให้ทุกคนมีความรู้สึกว่า การมีลูกจะเป็นประโยชน์กับการดูแลครอบครัว การเพิ่มประชากรของประเทศ ซึ่งเงิน 3 พันบาทนี้ คิดว่า เป็นจำนวนเงินที่เพียงพอในการดูแลเด็กที่ต่างจังหวัดได้ หากมีการปรับเพิ่มจริง ผู้ประกันตนมาตรา 33 ก็ต้องได้เหมือนกันทั้งประเทศ ทุกคน ไม่ว่าจะเป็นการเลี้ยงดูที่ไหน”
ก็ต้องรอดูว่า สุดท้ายจะปรับเพิ่มได้เท่าไร เป้าหมายใหญ่คือ เพิ่มประชากรแก้ปัญหาสังคมผู้สูงอายุ.

“ทีมข่าวการเมือง”