เมื่อวันที่ 9 ก.ค. ที่ทำเนียบรัฐบาล นางรัดเกล้า อินทวงศ์ สุวรรณคีรี รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงผลการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ว่า ที่ประชุม ครม. มีมติอนุมัติตามที่กระทรวงมหาดไทยเสนอให้การไฟฟ้านครหลวง (กฟน.) และการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) ใช้จ่ายงบประมาณในวงเงิน 1,939.75 ล้านบาท โดยใช้แหล่งเงินจากงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 งบกลาง รายจ่ายเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น สำหรับค่าไฟฟ้าเดือน ม.ค.-เม.ย. 2567 เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินมาตรการลดภาระค่าใช้จ่ายด้านไฟฟ้าให้แก่ประชาชน โดยกรอบวงเงินของ กฟน. จำนวน 356.30 ล้านบาท และเป็นกรอบวงเงินของ กฟภ. จำนวน 1,583.45 ล้านบาท โดยให้ กฟน. และ กฟภ. เบิกจ่ายเงินจากสำนักงบประมาณต่อไป

นางรัดเกล้า กล่าวอีกว่า ทั้งนี้ กระทรวงมหาดไทยรายงานว่า จากสถานการณ์ราคาพลังงานที่สูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทำให้ราคาพลังงานของประเทศมีแนวโน้มปรับตัวเพิ่มขึ้น ดังนั้นเพื่อลดภาระค่าใช้จ่ายไฟฟ้ากับประชาชน กระทรวงมหาดไทยโดย กฟน. และ กฟภ. ได้ดำเนินมาตรการลดภาระค่าใช้จ่ายด้านไฟฟ้าให้กับประชาชน สำหรับผู้ใช้ไฟฟ้าประเภทบ้านอยู่อาศัยที่ใช้ไฟฟ้าไม่เกิน 300 หน่วยต่อเดือน ตามมติ ครม. เมื่อวันที่ 19 ธ.ค. 2566 สำหรับค่าไฟฟ้าประจำเดือนมกราคมถึงเดือน เม.ย. 2567 (ให้ส่วนลดค่าไฟฟ้าจำนวน 21 สตางค์ต่อหน่วย ก่อนการคำนวณภาษีมูลค่าเพิ่ม) ซึ่งสามารถประมาณการงบประมาณที่ใช้ดำเนินการได้ ดังนี้ ใบแจ้งค่าไฟฟ้าประจำเดือน ม.ค.-เม.ย. 2567 กฟน. มีผู้ใช้ไฟฟ้า 2.38 ล้านราย วงเงิน 356.30 ล้านบาท ขณะที่ กฟภ. มีผู้ใช้ไฟฟ้า 15.35 ล้านราย วงเงิน 1,583.45 ล้านบาท รวมผู้ใช้ไฟฟ้ามีจำนวน 17.73 ล้านราย วงเงิน 1,939.75 ล้านบาท

รองโฆษกประจำสำนักนายกฯ กล่าวว่า ขณะที่สำนักงบประมาณแจ้งว่านายกรัฐมนตรีให้ความเห็นชอบให้ กฟน. และ กฟภ. ใช้จ่ายงบประมาณประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 ไปพลางก่อน งบฯ กลาง รายจ่ายเงินสำรองจ่าย เพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ในกรอบวงเงินจำนวนทั้งสิ้น 1,939.75 ล้านบาท โดยให้เบิกจ่ายในงบฯ เงินอุดหนุน ประเภทเงินอุดหนุนทั่วไป โดยให้จัดทำแผนการปฏิบัติและแผนการใช้จ่ายงบฯ เพื่อขอทำความตกลงในรายละเอียดกับสำนักงบประมาณตามขั้นตอน ส่วนกระทรวงมหาดไทยแจ้งว่าการช่วยเหลือผู้ใช้ไฟฟ้าจะช่วยบรรเทาความเดือดร้อน และลดภาระค่าไฟฟ้า/ค่าครองชีพแก่กลุ่มผู้ใช้ไฟฟ้าประเภทบ้านอยู่อาศัย ที่ได้รับผลกระทบจากการเพิ่มขึ้นของราคาไฟฟ้าซึ่งเป็นสาธารณูปโภคพื้นฐาน รวมถึงช่วยให้เศรษฐกิจไทยในภาพรวมขับเคลื่อนได้ในระยะต่อไป โดยกระทรวงมหาดไทยได้จัดทำรายละเอียดข้อมูลที่หน่วยงานของรัฐ ต้องเสนอพร้อมกับการขออนุมัติต่อ ครม. ตามนัยมาตรา 27 แห่ง พ.ร.บ.วินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. 2561 เรียบร้อยแล้ว