แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด น่าจะกู่ไม่กลับเสียแล้วนะครับ ล่าสุดทำได้แค่เปิดบ้านเสมอกับ เซาแธมป์ตัน 1-1 ในศึกพรีเมียร์ลีก เมื่อวันเสาร์ จนชวดโอกาสแซง เวสต์แฮม ยูไนเต็ด กลับขึ้นไปรั้งอันดับ 4 อย่างน่าเสียดาย

            เกมนี้ แมนฯ ยูไนเต็ด ยังคงลงสนามในระบบ 4-2-3-1 เหมือนเกมที่เพิ่งเสมอกับ เบิร์นลีย์ มา 1-1 เมื่อช่วงกลางสัปดาห์ โดยมี คริสเตียโน โรนัลโด กลับมาประจำการในตำแหน่งกองหน้าตัวเป้าแทน เอดินสัน คาวานี ที่มีปัญหาเรื่องสภาพร่างกายจนไม่มีชื่ออยู่ในทีม

            ส่วน แฮร์รี แม็กไกวร์ บ่อน้ำมันราคา 80 ล้านปอนด์ ที่โชว์ฟอร์มย่ำแย่มาตลอดในช่วงหลังจนแฟนบอลผีแดงพากันเรียกร้องให้ถูกดร็อปออกจากทีมตัวจริงนั้น ยังคงได้รับความไว้วางใจจาก ราล์ฟ รังนิก ให้ออกสตาร์ตในตำแหน่งเซนเตอร์ฮาล์ฟคู่กับ ราฟาแอล วาราน เหมือนเดิม

            เห็นได้ชัดนะครับว่า นักเตะแมนฯ ยูไนเต็ด พยายามจะแก้ตัวจากผลงานอันย่ำแย่ในเกมกับ มิดเดิลสโบรช์ และเบิร์นลีย์ โดยพร้อมใจกันขยับขึ้นไปกดดันเข้าใส่ เซาแธมป์ตัน ตั้งแต่ต้นเกมจนทำให้นักเตะนักบุญไม่สามารถขึ้นเกมได้ถนัดนัก

            โอกาสทองหนแรกของ แมนฯ ยูไนเต็ด เกิดขึ้นในนาทีที่ 6 เมื่อ โรนัลโด ได้บอลหลุดเดี่ยวไปล็อกหลบ เฟรเซอร์ ฟอร์สเตอร์ นายทวารของเซาแธมป์ตัน แต่จังหวะสุดท้ายกลับยิงเบาไปจนโดน โรแม็ง แปร์โรด์ ตามมาเคลียร์ออกไปได้ทันก่อนที่ลูกบอลจะวิ่งผ่านเส้นประตูเข้าไปตุงตาข่าย

            ทว่าสุดแท้ ปิศาจแดง ก็มาได้ประตูขึ้นนำจนได้จากจังหวะที่ มาร์คัส แรชฟอร์ด รับบอลยาวจาก บรูโน แฟร์นันด์ส ก่อนจะปาดต่อไปให้ เจดอน ซานโช แปเข้าไปง่าย ๆ ในนาทีที่ 21

            แน่นอนว่า หากฟุตบอลแข่งกันแค่ 45 นาที แมนฯ ยูไนเต็ด คงเป็นฝ่ายคว้าชัย และเก็บ 3 แต้มเข้ากระเป๋าได้อย่างสบายใจเฉิบไปแล้ว

            แต่น่าเสียดายที่ฟุตบอลเตะกัน 90 นาที และประวัติศาสตร์ก็กลับมาย้อนรอยเดิมอีกครั้ง เมื่ออยู่ ๆ พลพรรคอสูรแดง ที่โชว์ฟอร์มเป็นกระเอกในครึ่งแรก ก็ปล่อยให้ เช อดัมส์ หลุดเข้าไปกระทุ้งประตูตีเสมอให้ เซาแธมป์ตัน ดื้อ ๆ หลังจากครึ่งหลังผ่านไปได้เพียง 3 นาทีเท่านั้น

            จากจุดที่โดนตีเสมอ แมนฯ ยูไนเต็ด ยังมีเวลาอีกกว่า 40 นาทีในการพังประตูขึ้นนำ

ทว่าสุดท้าย เรด เดวิลส์ ก็ไม่มีปัญญาเจาะแนวรับของ เดอะ เซนต์ส เข้าไปทำสกอร์เพิ่มได้ และทำได้แค่เสมอในลีกเป็นเกมที่ 2 ติดต่อกัน เก็บได้เพียง 2 จาก 6 คะแนน และยิงได้เพียงประตูเดียวเป็นเกมที่ 3 ติดต่อกันหากนับรวมเกมเอฟเอ คัพ กับ เดอะ โบโร่ ด้วย

            ถึงตรงนี้เห็นได้ชัดว่า นอกจากแนวรับจะมีปัญหาเสียประตูง่ายแล้ว แนวรุกของ แมนฯ ยูไนเต็ด ก็ดูจะเป็นปัญหาที่น่าเป็นห่วงไม่แพ้กัน

            ขณะที่สถิติชี้ว่า แมนฯ ยูไนเต็ด ในยุคของ รังนิก ยิงประตูเฉลี่ยต่อนัดในพรีเมียร์ลีกได้น้อยกว่าในยุคของกุนซือรายอื่น หลังระเบิดตาข่ายได้แค่ 14 ตุงจาก 10 นัด และยิงเกิน 1 ประตูได้แค่ 3 นัดเท่านั้น

            ส่วน โรนัลโด ที่เคยยิงระเบิดเถิดเทิงในช่วงต้นซีซั่น ตอนนี้ยิงประตูไม่ได้ติดต่อกันมาแล้วถึง 6 นัด ซึ่งเป็นสถิติที่เลวร้ายที่สุดของเจ้าตัวในรอบ 11 ปีเลยทีเดียว

            นอกจากนี้บนวัย 37 ปี “ซีอาร์7” ยังเริ่มออกอาการแพ้สังขารให้เห็นอย่างต่อเนื่อง สปีดต้นของเขาเริ่มจะไม่ปรู๊ดปร๊าดเหมือนแต่ก่อน จนทำให้เข้าถึงบอลช้าไปครึ่ง หรือ หนึ่งก้าวตลอดในช่วง 2-3 เกมที่ผ่านมา

            จากสภาพของ โรนัลโด ที่กำลังโรยราลงทุกวัน และจากการที่ เอดินสัน คาวานี น่าจะไม่ต่อสัญญาในถิ่น โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด ออกไปอีกแล้ว แมนฯ ยูไนเต็ด จึงควรจะเริ่มต้นมองหากองหน้าคนใหม่เอาไว้แต่เนิ่น ๆ ได้เลย ไม่ว่าจะเป็น เออร์ลิง ฮาแลนด์, แฮร์รี เคน หรือ ใครก็ตาม

            ส่วนแดนกลางหากจะลุ้นแชมป์แค่ สกอตต์ แม็คโทมิเนย์ ที่มีแค่หัวจิตหัวใจ พละกำลัง และความทุ่มเทคงไม่พอ มันต้องขยับขึ้นไปมองมิดฟิลด์ตัวท็อประดับ ดีแคลน ไรซ์, คัลวิน ฟิลลิปส์ หรือ ยูริ ตีเลอมันส์ ที่ราคาย่อมเยากว่านั่นเลย

            มาถึงแนวรับหากยังขืนทู่ซี้ใช้ แม็กไกวร์ ที่ทั้งเชื่องช้า และเฟอะฟะ ประจำการในตำแหน่งเซนเตอร์ฮาล์ฟต่อไปก็ต้องเรียนตามตรงว่า ตาข่ายของพวกเขามีโอกาสจะสะเทือนได้ทุกเมื่อแน่นอน โดยเฉพาะเมื่อฟูลแบ๊กทั้ง 2 ข้างอย่าง ลุค ชอว์ และดีโอโก ดาโลต์ รวมไปถึงตัวสำรองอย่าง อารอน วาน-บิสซากา และอเล็กซ์ เตลลิส ก็ไม่มีใครไว้ใจได้เลยเช่นกัน

            สรุปแล้วในช่วงซัมเมอร์ที่จะถึงนี้เราน่าจะได้เห็นการยกเครื่องใหม่ของ แมนฯ ยูไนเต็ด อีกครั้งแน่นอน แถมยังจะเป็นการเปลี่ยนแปลงตั้งแต่ตำแหน่งผู้จัดการทีมไล่ไปจนครบทั้งผู้เล่นในแดนหลัง แดนกลาง และแดนหน้าเลยทีเดียว.

แท ยอน