ช่วงหลังดูเหมือนว่า “จิ้งจอกสยาม” เลสเตอร์ ซิตี จะเป็นทีมที่สร้างปัฐหาให้ ลิเวอร์พุล ของ เจอร์เกน คลอปป์ อยู่เสมอ…

ก่อนหน้าจะดวลกันในเกมลีกที่แอนฟิลด์ ในคืนวันพฤหัสบดีที่ผ่านมานั้น เกมลีก 2 นัดล่าสุดที่เจอกัน “หงส์แดง” เสร็จ “จิ้งจอกสยาม” ทั้ง 2 เกม ทั้งเกมบุกแพ้ที่ คิง เพาเวอร์ สเตเดี้ยม 0-1 ในนัดแรกของซีซั่นนี้ ไปจนถึงเกมซีซั่นที่แล้วที่ ลิเวอร์พูล บุกแพ้ 1-3

นอกจากนี้ “จิ้งจอกสยาม” ยังเป็นทีมที่เอาชนะ “หงส์แดง” ภายใต้การคุมทีมของ เจอร์เกน คลอปป์ ได้มากที่สุด 4 นัดเท่ากับ แมนเชสเตอร์ ซิตี อีกต่างหาก

เรียกได้ว่าสถิติเก่า ๆ ดูจะ “ข่มขวัญ” เด็กหงส์ได้อยู่บ้าง แม้นนาทีนี้ทีมเยือนจะเป็นเหมือน “จิ้งจอกพิการ” ไปเสียหน่อยก็ตาม…!!!

เกมนี้ เจอร์เกน คลอปป์ เลือกเปลี่ยน 11 ตัวแรกจากเกม เอฟเอ คัพ รอบ 4 ที่ทีมทุบ คาร์ดิฟฟ์ เมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา 6 ตำแหน่ง โดย ควีมิน เคลเลเฮอร์, อิบราฮิมา โกนาเต, คอสตาส ซิมิคาส, นาบี เกอิตตา รวมถึง จอร์แดน เฮนเดอร์สัน ที่มีอาการเจ็บหลัง หลุุดออกไป ขณะที่ อลิสซอน เบคเกอร์, ฟาบินโญ แอนดี โรเบิร์ตสัน, โฌเอล มาทิป กลับมาเป็นตัวจริง รวมถึง หลุยส์ ดิอาซ ที่ออกสตาร์ตเป็นเกมแรก และ ติอาโก อัลคันทารา ที่คัมแบ๊กกลับมาเป็นเกมแรก หลังหายหน้าไปตั้งแต่ช่วงกลางเดือนธันวาคม

ส่วน โม ซาลาห์ ที่เพิ่งกลับมาหลังอกหักได้แค่รองแชมป์ แอฟริกา คัพ ออฟ เนชั่นส์ กับทีมชาติอียิปต์นั้น เหนื่อยทั้งกาย เจ็บทั้งใจ คลอปป์ จึงเลือกให้ออกสตาร์ตบนมท้านั่งสำรองก่อน แม้เจ้าตัวจะบอกว่าพร้อมลุยก็ตาม ขณะที่ ซาดิโอ มาเน เพิ่งกลับมาถึงอังกฤษช่วงเข้าวันพฤหัสบดี หลังจากกอดถ้วยแชมป์จนฉ่ำอุรา ดังนั้นย่อมไม่มีชื่อในเกมนี้

ขณะที่ เลสเตอร์ ของคนเคยรักของเหล่า “เดอะ ค็อป” อย่าง เบรนแดน ร็อดเจอร์ส นั้น ยังเจอปัญหานักเตะบาดเจ็บเป็นกระบุงเหมือนเดิม โดยเฉพาะตัวหลักอย่าง เจมี วาร์ดี, จอนนี อีแวนส์, เวสลีย์ โฟฟานา และ ทิโมธี กาสตาญ โดยเกมนี้ “บีร็อด” เปลี่ยนทีมจากเกมบุกแพ้ ฟอเรสต์ ยับเยินในเกม เอฟเอ คัพ เมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา 5 ตำแหน่ง โดยที่ตัวหลักอย่าง คักลาร์ โซยุนชู, ยูริ ตีเลอมันส์ รวมถึง ฮาร์วีย์ บาร์นส์ เป็นแค่สำรอง แถมเกมรับใช้ วิลฟรีด เอ็นดีดี เล่นกับ แดเนียล อมาร์ตีย์ ไม่ใช่เซ็นเตอร์ฮาล์ฟอาชีพทั้งคู่ เรียกว่าเซอร์ไพรส์ไม่น้อย

รูปเกมในครึ่งแรก “หงส์แดง” เหมือนจะคุมเกมได้เบ็ดเสร็จ สร้างงานให้ แคสเปอร์ ชไมเคิล จนต้องปัดป้องเป็นพัลวัน แต่เอาเข้าจริง มันก็ยังดูติด ๆ ขัด ๆ อยู่เหมือนกัน ดีโอโก โชตา ที่ช่วงแรกถ่างออกไปอยู่ริมเส้นดูจะหาย ๆ ไป ขณะที่ หลุยส์ ดิอาซ แม้ดูวูบวาบเมื่อบอลอยู่ที่เท้า แต่การตะลุยไปข้างหน้ายังน้อยไปนิด

แต่เป็นอีกครั้งที่ “หงส์แดง” ใช้ลูกเซตพีซเป็นลูกหากิน เมื่อ เฟอร์จิล ฟาน ไดค์ โขกเตะมุมของ เทรนต์ อเล็กซานเดอร์ อาร์โนลด์ ที่ลงเล่นให้ทีมเป็นเกมที่ 150 ในนัดนี้ ติดเซฟ ชไมเคิล กระฉอกออกมาให้ โชตา ที่ยืนโล่ง ๆ ซ้ำจ่อ ๆ ไม่เหลือซากในนาทีที่ 34 และคงไม่ผิดที่จะบอกว่านี่คือการปลดล็อกความกดดันทั้งมวลออกจากบ่าของบุนพล “หงส์แดง” …

หลังจากนั้น ยาวมาจนถึงครึ่งหลัง ทุกอย่างเป็นของ “หงส์แดง” แทบจะเบ็ดเสร็จ ยิ่งมี ซาลาห์ และ ฮาร์วีย์ เอลเลียตต์ ลงมาในครึ่งหลัง เกมรุกยิ่งทะลุทะลวงกว่าเดิม “บังโม” ทะลวงฝั่งขวา ดิอาซ ที่เริ่มกล้าเล่นมากขึ้น ทะลวงฝั่งซ้าย จึงไม่แปลกที่งานของ ชไมเคิล จะยังชุกไม่แพ้ครึ่งแรก ขณะที่ฝั่งของ อลิสซอน นั้น ดูเหมือนจะได้โชว์ฝีมือในการเซฟลูกหลุดไปยิงของ เจมส์ แมดดิสัน แค่ครั้งเดียวเท่านั้น

และเมื่อ โชตา รับบอลจาก มาทิป พลิกเข้าไปยิงประตูที่ 2 ของตัวเองในเกมนี้ และเป็นประตูที่ 12 ในลีกฤดูกาลนี้ได้ในนาทีที่ 87 ก็เท่ากับ เกม เซต และ แมตช์…

นี่คือประตูที่ 16 และ 17 ของ โชตา ในทุกรายการซีซั่นนี้ เป็นการยิงได้มากที่สุดใน 1 ซีซั่นของเจ้าตัวนับตั้งแต่มาค้าแข้งในพรีเมียร์ลีกแล้ว

ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าแม้จำนวนประตูจะยังเป็นรอง ซาลาห์ แต่ในซีซั่นนี้ โชตา มีความสำคัญต่อทีมไม่ได้ยิ่งหย่อนไปกว่าดาวเตะทีมชาติอียิปต์ บ่อยครั้งที่เจ้าตัวเป็นคนยิงประตูแรกของเกม ปลดล็อกให้ทีมเล่นง่ายขึ้น และเมื่อโอกาสมาถึง เขามักไม่ค่อยปล่อยให้มันหลุดมือ…

จึงไม่น่าแปลกใจที่หลังเกม เจอร์เกน คลอปป์ จะชื่นชมลูกทีมชาวโปรตุเกสรายนี้ไม่หยุดปาก…

กระนั้น สิ่งสำคัญที่สุดคือ 3 คะแนนในเกมนี้ ซึ่งทำให้ “หงส์แดง” ยังคงเกาะ “เรือใบสีฟ้า” แมนเชสเตอร์ ซิตี ทีมจ่าฝูงห่าง 9 คะแนน และแข่งน้อยกว่าอยู่ 1 นัด ถามว่าห่างมั้ย? มันก็แล้วแต่จะมองมุมไหน เพราะตัวเลข 9 แต้มกับทีมระดับ “เรือใบสีฟ้า” มันแลดูไกลเหลือเกิน

แต่ในอีกมุม ถ้าเก็บนัดตกค้างได้ “หงส์แดง” จะเหลือตาม 6 แต้ม ความรู้สึกมันจะใกล้เข้าไปกว่าเดิมอีกเยอะ กับ 10 กว่าเกมที่เหลือในฤดูกาลนี้ ก็ไม่ใช่ว่าเป็นไปไม่ได้เอาเสียเลย

เพียงแต่ด้วยฟอร์มของ “เรือใบสีฟ้า” ที่เข้าเบรกต่อเนื่องไม่หยุดในช่วงนี้ ทำให้จากนี้จนถึงปลายทาง ลูกทีมของ เจอร์เกน คลอปป์ ไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากจะพลาดไม่ได้อีกแล้ว พวกเขาต้องก้มหน้าก้มตาทำหน้าที่ของตัวเองให้เนี้ยบที่สุด

แล้วก็หวังว่าลูกทีมของ เปป กวาร์ดิโอลา จะเกิดอาการหัวเทียนบอดขึ้นมาบ้าง…

เครดิตภาพ : REUTERS