ดาราคนมีชื่อเสียงแห่แหนมาเชื่อสิ่งเหล่านี้ ตลอดจนสถานที่ย่านเศรษฐกิจสำคัญ เช่น “ย่านราชประสงค์” รวมที่ตั้งแหล่งศักดิ์สิทธิ์ขอพรโชคลาภ ความรัก ยิ่งในช่วงเทศกาลปีใหม่ที่จะถึงนี้ สื่อโซเชียลต่าง ๆ แข่งกันหาเทรนด์สายมูต่าง ๆ เพื่อแย่งชิงยอดการเข้าถึงคนดู (Engagement)

เวทีเสวนา “เคลือบแคลง ย้อนแย้ง แสวงหา: ไสยศาสตร์ในวิถีเมือง” ของคณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์ มหาวิทยาลัยได้หยิบยกกระแสสังคมในเรื่องนี้มาพูดคุยกัน

“การที่ไสยศาสตร์งอกงามในสังคมเมืองเป็นเรื่องที่ต้องตั้งคำถามว่าเกิดอะไรขึ้นในสังคมเมือง ที่ทำให้ผู้คนเข้าหาและพึ่งพิงไสยศาสตร์ ผู้คนกำลังแสวงหาอะไรหรือรู้สึกอย่างไรในสังคมนี้”ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.กัญญา วัฒนกุล ศูนย์ไทยศึกษา คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เปิดประเด็นและเป้าหมายของการเสวนา ทั้งนี้ในการเสวนาครั้งนี้ มี ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.เกษม เพ็ญภินันท์ ภาควิชาปรัชญา คณะอักษรศาสตร์ จุฬาฯ และผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.พิพัฒน์ กระแจะจันทร์ คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ร่วมแสดงทัศนะเพื่อทำความเข้าใจปัจจัยที่ส่งเสริมวิถีปฏิบัติต่อสิ่งเหนือธรรมชาติในบริบทเมือง

ผศ.ดร.เกษม จากภาควิชาปรัชญา คณะอักษรศาสตร์ จุฬาฯ กล่าวเสริมว่า ไสยศาสตร์ไม่ใช่เรื่องโบราณล้าสมัย หากเป็นสิ่งที่ตอบโจทย์มนุษย์ในทุกยุคนับแต่โบราณมา โดยเฉพาะช่วงเวลาที่สังคมเผชิญกับความปั่นป่วนโกลาหล

อดีตไสยศาสตร์อยู่เหนือความงมงาย

ผศ.ดร.พิพัฒน์ จากคณะศิลปศาสตร์ ธรรมศาสตร์ กล่าวว่า เดิมทีไสยศาสตร์ไม่ใช่สิ่งงมงาย จนเมื่อสังคมเข้าสู่ยุคสมัยใหม่ และความรู้ทางวิทยาศาสตร์แพร่กระจายเข้ามา โลกทัศน์ของคนโบราณสมัยก่อน ร.4 ไสยศาสตร์ไม่ใช่ความลี้ลับหรือมนต์ดำ หากแต่เป็นศาสนาและความเชื่อที่มีองค์ประกอบเกี่ยวกับอิทธิฤทธิ์ ปาฏิหาริย์ ความวิเศษ ซึ่งเป็นความหมายของคำ ว่าไสยศาสตร์ การท่องมนต์และพิธีกรรม นอกจากนี้ ไสยศาสตร์ในไทยยังมีการผสมผสานความเชื่อในท้องถิ่นเข้าไปด้วย”

“ในโลกทัศน์สมัยใหม่  หลักคิดแบบคู่ตรงข้าม (binary opposition) ทำให้วิทยาศาสตร์ตรงข้ามกับไสยศาสตร์ ไสยศาสตร์จึงกลายเป็นเรื่องงมงาย เหลวไหล ไม่น่าเชื่อถือ นอกจากนี้ ไสยศาสตร์ก็ยังอยู่ตรงข้ามกับพุทธศาสน์ด้วย โดยไสยศาสตร์แปลว่าผู้หลับ ความเชื่อที่หลับใหล ตรงข้ามกับพุทธศาสน์ซึ่งเป็นศาสนาแห่งความตื่นรู้”

ไสยศาสตร์เป็นภูมิปัญญา

สำหรับอาจารย์ด้านปรัชญา ผศ.ดร.เกษม กล่าวว่าวิทยาศาสตร์และไสยศาสตร์ ไม่ต่างกันในแง่เป็นระบบความคิดของมนุษย์

“ไสยศาสตร์เป็นภูมิปัญญา ระบบความคิดความเชื่อของมนุษย์ที่พยายามสร้างคำอธิบายให้กับสิ่งที่มนุษย์ไม่เข้าใจ เช่น ฝนตก ฟ้าร้อง ทำให้เราเข้าใจโลกเข้าใจตัวเอง ตอบโจทย์อนาคตที่เราไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง และบางสิ่งที่เราอาจจะเข้าไปแก้ไขไม่ได้ ชุดความเชื่อทางไสยศาสตร์ทำให้เราคิดกับสิ่งเหล่านี้ได้”

ไม่ว่าโลกสมัยใหม่จะผลักไสยศาสตร์ให้เป็นคู่ตรงข้ามกับพุทธศาสน์และวิทยาศาสตร์ แต่หน้าที่และความหมายของไสยศาสตร์ในพื้นที่ชีวิตและจิตวิญญาณของมนุษย์ก็ยังคงเดิม

“ไสยศาสตร์เป็นระบบความเชื่อของมนุษย์ที่ตอบโจทย์ความต้องการทางใจและจิตวิญญาณ หน้าที่ของไสยศาสตร์ในสังคมสมัยใหม่คือ spiritual exercise ที่    ช่วยให้มนุษย์เข้มแข็งขึ้น มีความหวัง มีชีวิตอยู่ต่อไปได้ในโลกที่มีความไม่แน่นอน

พลังเหนือธรรมชาติตัวช่วยรับมือโลกป่วน

ผศ.ดร.เกษม อ้างถึงยุคหนึ่งในประวัติศาสตร์ทางปรัชญา ที่ความเชื่อสิ่งเหนือธรรมชาติ ความลี้ลับ (mysticism) ไสยศาสตร์ เกิดขึ้นมากมาย

’ยุคหลังเมืองเอเธนส์ล่มสลายและก่อนโรมเอมไพร์จะก่อตั้งขึ้น ยุคนั้นทางปรัชญามองว่าเป็นยุคที่ยุ่งเหยิงและโกลาหลที่สุด ซึ่งในยุคนี้นี่เอง ที่เกิดระบบ mysticism หรือความเชื่อเหนือธรรมชาติมากมาย“

…และพื้นที่ที่เผชิญกับความโกลาหลและปั่นป่วนที่สุดก็คือพื้นที่เมือง…

ผศ.ดร.กัญญา อธิบายเชื่อมโยงความเฟื่องฟูของไสยศาสตร์กับบริบทสังคมเมืองว่า ในเศรษฐกิจแบบทุนนิยมของเมือง ความเหลื่อมลํ้าสูง ผู้คนจำนวนมากจึงเข้าหาความเชื่อเชิงไสยศาสตร์เพื่อรับมือกับเหตุฉุกเฉินและความไม่แน่นอนของชีวิต

ผศ.ดร.เกษม กล่าวเสริมทัศนะในเรื่องนี้ว่า แต่ก่อน ไม่คิดว่าหมอ วิศวกร กลุ่มคนที่อาชีพดูมั่นคง จะให้ความสำคัญกับการดูดวงหรือเรื่องอะไรแบบนี้ แต่กลายเป็นว่าพวกเขาให้ความสำคัญกับเรื่องพวกนี้ เหมือนกับว่าเป็นสิ่งที่วิทยาศาสตร์ไม่อาจตอบได้

“มูเตลู” เติมความหวังโลกทุนนิยม

ผศ.ดร.พิพัฒน์ กล่าวว่า ไสยศาสตร์ในสังคมเมืองเน้นตอบสนองความต้องการและเป้าหมายเชิงปัจเจก และวนเวียนอยู่กับเรื่องความมั่งคั่งรํ่ารวย ความสำเร็จ มิติความรักความสัมพันธ์ ซึ่งเป็นสิ่งที่คนเมืองในโลกทุนนิยมแสวงหา ก่อให้เกิดความรู้สึกไม่มั่นคง เมื่อรู้สึกไม่มั่นคง ก็ยิ่งแสวงหาพลังเหนือธรรมชาติเพื่อบันดาลในสิ่งที่ปรารถนา

สภาวะทางสังคมแบบไหนที่ทำให้คนหันไปหาที่พึ่งจากสิ่งเหนือธรรมชาติมากกว่าแสวง หาความช่วยเหลือจากโครงสร้างทางสังคม เศรษฐกิจ หรือจากคน ในสังคมด้วยกันเอง ผศ.ดร.กัญญา ตั้งคำถามและเสนอข้อคิดเห็นว่า เป็นเพราะโครงสร้างทางเศรษฐกิจและสังคมหรือไม่ ที่ไม่โอบไม่เอื้อ ไม่มีสวัสดิการที่จะมาช่วยเหลือผู้คนเวลาที่ตกอยู่ในภาวะวิกฤติหรืออยู่ในสังคมที่ความเหลื่อมลํ้าต่าง ๆ ถ้าเราอยากรวยเท่ากับคนรวย 10% ของประเทศ ดูเหมือนมันไม่มีทางอื่นเลย นอกจากต้องถูกลอตเตอรี่เท่านั้นหรือเปล่า

พื้นที่ในเมืองไม่รองรับความเหงา

“แม้ในเมืองจะมีผู้คนจากต่างถิ่นเข้ามาอยู่มากมาย แต่เมืองไม่เป็นพื้นที่รองรับความเปลี่ยวเหงา พวกเขารู้สึกถูกตัดขาดจากชุมชน จากความเชื่อที่ยึดโยงเขากับรากฐานของชีวิตและวัฒนธรรม ไสยศาสตร์จึงเป็นที่พึ่งและตอบสนองด้านจิตใจได้” ผศ.ดร.พิพัฒน์ กล่าว

ผศ.ดร.พิพัฒน์ ให้ข้อสังเกตว่าการขอพรเรื่องความรัก ความสัมพันธ์ ครอบครัว เป็นสิ่งที่เด่นชัดมากในวิถีของคนเมือง

“ในเมือง ผู้คนรู้สึกโดดเดี่ยว ก็อยากจะมีคู่ (เพื่อคลายความโดดเดี่ยว) และไสยศาสตร์พยายามตอบโจทย์ภาวะทางความรู้สึกนี้”

“ไม่เชื่ออย่าลบหลู่”วรรคทองไม่ตกยุค

ความที่เมืองเป็นแหล่งรวมความหลากหลายของผู้คนและวัฒนธรรม จึงเกิดชุดความเชื่อ วิถีปฏิบัติย่อย ๆ และวัตถุทางความเชื่อมากมายและหลากหลาย เทพเจ้าและผีตนใหม่ ๆ ปรากฏขึ้นเรื่อย ๆ ให้คนเมืองได้ชอปปิงตามสะดวกและตามใจปรารถนา มีทั้งเทพดั้งเดิมที่เป็นเทพเจ้าฮินดู จีน และพุทธ ผีโบราณและผีใหม่ ๆ ที่หลุดมาจากโลกการ์ตูนและวรรณคดี อย่างเช่นที่มีร่างทรงโดเรมอน ร่างทรงพ่อปู่ไจแอ้นท์ และร่างทรงผีเสื้อสมุทร

“มูเตลู” ทำให้เรื่องนี้ดูทันสมัยขึ้น ลดความลี้ลับหรือความมืดดำ (ดาร์ก) ผสานกับคำพูดที่ว่า “ไม่เชื่ออย่าลบหลู่” ก็ช่วยเปิดพื้นที่ให้ไสยศาสตร์และความเชื่อเหนือธรรมชาติอยู่ได้และขยายตัวในสังคม.