ตอนเด็ก ๆ พูดไทยไม่ได้เลย เพราะโตและเรียนอยู่ต่างประเทศมาตลอด ตอนนั้นพูดไทยได้แค่บอกรักและขอเงินคุณแม่เท่านั้นสาวเท่เจ้าของเสียงทรงพลังมีเอกลักษณ์โดดเด่นที่หลายคนจดจำได้ดีเล่าให้ฟังอย่างอารมณ์ดี โดยสาวเท่คนนี้ตอนนี้เป็น“MC งานพิธีกรมวย” ซึ่งก่อนหน้านี้เธอเคยเป็น “อดีตศิลปินเพลง” ค่ายดังมาก่อน แต่อะไรที่เป็นจุดเปลี่ยน-ทำให้เส้นทางชีวิตหักเห วันนี้“ทีมวิถีชีวิต” จะพาไปพูดคุย และทำความรู้จักเธอให้มากขึ้น เธอคนนี้… “นาร่า-นรา ชมภูนิช”

หลายคนที่ไม่ได้คุ้นเคยหรือติดตามกีฬามวยอาจจะยังไม่รู้จักเธอคนนี้ แต่หากได้ยิน เสียงทรงพลัง จากเธอแล้ว เชื่อว่าทุกคนก็จะต้องสนใจเธอ ซึ่งเสียงที่เธอเปล่งออกมาขณะที่ทำหน้าที่ “MC” การแข่งขันชกมวย ใครที่ติดตาม ศึกวันลุมพินี ย่อมจะต้องคุ้นหู และด้วยความที่เสียงที่เปล่งออกมามีพลังมาก ๆ จึงไม่แปลกที่หลายคนจะ เข้าใจผิดว่าคือเสียงของผู้ชาย

เรื่องเสียงนี่ก็มีคนเข้าใจผิดเยอะค่ะ เป็นการยอมรับเรื่องนี้จาก นาร่านรา ชมภูนิช สาวเท่เจ้าของเสียงนี้ โดยเธอบอกว่า เป็นความตั้งใจและเป็นไปตามคอนเซปต์ของรายการที่ต้องการน้ำเสียงที่ทรงพลัง ปลุกเร้าความตื่นเต้นให้กับผู้ชมศึกวันลุมพินี และรายการวันแชมเปียนชิพ นอกจากนั้นก็เพื่อช่วยสร้างความฮึกเหิมให้นักชกที่กำลังจะต้องขึ้นชกด้วย

นาร่า คนนี้อดีตเธอเคยเป็นศิลปิน ค่ายแกรมมี่ โดยเธอเล่าย้อนว่า คุณพ่อเป็นวิศวกรน้ำมัน ส่วนคุณแม่เป็นพยาบาล โดยเดินทางจากไทยไปอยู่ที่เมืองมิสซูรี รัฐเทกซัส สหรัฐอเมริกา เธอจึงเกิดและเติบโตที่นั่น ใช้ชีวิตและเรียนหนังสือจนอายุ 12 ขวบก็ย้ายตามคุณพ่อที่ย้ายไปทำงานที่มาเลเซีย จนอายุ 17 ปี จึงย้ายกลับอเมริกาอีกครั้ง และเข้าเรียนมหาวิทยาลัย จริง ๆ อยากเรียนดนตรี ชอบร้องเพลงตั้งแต่เด็ก ซึ่งตอนเรียนไฮสคูลเคยเป็นนักร้องวงขับร้องประสานเสียงของโรงเรียน แต่คุณพ่อคุณแม่อยากให้เราเรียนสายอื่น เราก็ตามใจ ไม่อยากขัดท่าน ก็เลยเลือกเรียนสถาปนิกนาร่าเล่าเรื่องนี้

“คุณแม่-คุณพ่อ” ของ “นาร่า”

อย่างไรก็ตาม แต่ความฝันที่อยากจะเป็นนักร้องของเธอก็ยังมีอยู่ ในช่วงเรียนมหาวิทยาลัยเธอจึงได้ไปเข้าประกวดร้องเพลงรายการ American Idol และสามารถผ่านเข้าถึงรอบ 60 คนสุดท้าย ซึ่งตรงนี้ได้กลายเป็นจุดเปลี่ยนชีวิตเธอ เพราะหลังจากประกวดแล้วเธอก็ตัดสินใจขอคุณพ่อคุณแม่เดินทางมาไทย เพื่อเดินตามความฝันการเป็นนักร้อง โดยเธอบอกว่า ตอนนั้นอายุ 23 ปี เรียนมหาวิทยาลัยปี 4 ซึ่งอีกปีเดียวก็จะจบแล้ว แต่ด้วยความที่อยากมาตามความฝันจึงตัดสินใจมาที่ไทย

ที่เลือกตัดสินใจแบบนั้น เพราะเราค้นหาตัวเองเจอนานแล้ว รู้ใจตัวเองอยู่แล้วว่าหากเรียนจบสถาปนิก ได้ทำงานด้านที่เรียนมา คิดว่าน่าจะไม่มีความสุข ก็เลยเลือกจะมาตามฝันของตัวเอง ซึ่งคุณพ่อคุณแม่ก็คัดค้านที่เราจะมาไทย แต่ที่สุดทั้งสองก็ยอมให้มา ซึ่งการมาไทย เราก็ไม่ได้ทิ้งเรื่องเรียนไปเลยนะ เพราะไปสมัครเรียนที่มหาวิทยาลัยเอแบค สาขาสถาปนิกเหมือนเดิม แล้วก็อัดเทปทำเดโมส่งไปให้ค่ายเพลง จนผ่านไป 1 ปีแกรมมี่ก็ติดต่อมาให้เข้าไปเป็นศิลปินฝึกหัด ตอนนั้นดีใจมากที่เป็นก้าวแรกในการเดินตามความฝันของเรา แม้จะยังไม่ได้ออกเพลง แต่มันทำให้เรารู้สึกมีทางไปต่อแล้ว สุดท้ายก็เป็นศิลปินฝึกหัดที่นี่ ทำให้ต้องเรียนภาษาไทย เพราะเราฟังภาษาไทยไม่รู้เรื่องเลย ก็ใช้เวลาเรียนภาษาไทย 2 ปี ซึ่งโชคดีที่กลุ่มเพื่อน ๆ นั้นช่วยเรามาก ๆเธอเล่าถึงเส้นทางนี้

เคยทำงานเพลงกับ “เจมม่า-แคล”

หลังจากเวลาผ่านไปสักพักใหญ่ ที่สุดเธอก็เป็นนักร้องเต็มตัว ได้ออกอัลบั้มเพลง โดยเป็นการร่วมกับอีก 2 นักร้องสาว คือ เจมม่า กับ แคล และนอกจากนี้เธอยังมีผลงานร้องเพลงร่วมกับนักร้องชื่อดังอีกหลายคน ผลงานร่วมร้องกับเพื่อน ๆ นักร้องคนอื่นนั้นมีทั้งหมด 8 อัลบั้ม กับมีอัลบั้มเดี่ยว 2 อัลบั้ม ซึ่งเธอบอกว่าช่วงนั้นสนุกมาก เพราะได้ออนทัวร์ไปหลายจังหวัด

อย่างไรก็ดี หลังเป็นนักร้องอยู่ 5 ปี เธอก็ตัดสินใจไปทำงานด้าน MC ตามคลับหรือเฟสติวัล ทั้งในไทยและต่างประเทศ ซึ่งเป็นจุดพลิกผันชีวิตอีกครั้ง โดยเจ้าตัวบอกว่า หลังได้ออกอัลบั้มเพลงแล้ว แม้จะไม่ได้ดังมากแต่ก็เป็นความประทับใจที่ได้ทำตามฝันแล้ว พิสูจน์ตัวเองได้แล้ว แต่ก็มาคิดว่าเมื่อไม่ดังมากก็คงไปได้ไม่สุดในเส้นทางนี้ จึงมองหาช่องทางอื่นที่คิดว่าเหมาะกับบุคลิกตัวเอง ซึ่งอาชีพ MC เธอรู้สึกว่าเข้ากับตัวตนของเธอมาก และนี่ก็กลายเป็น จุดเริ่มต้นการเป็น MC รายการมวย โดยเธอเล่าว่า เธอเองก็เป็น FC ของรายการอยู่ด้วย แทบไม่พลาดดูมวยรายการนี้เลย จนวันหนึ่งขณะทำหน้าที่เป็น MC ที่คลับในสิงคโปร์ ก็มีฝรั่งร่างใหญ่เดินมาหาแล้วบอกเธอว่า มีตำแหน่ง MC วันแชมเปียนชิพว่างอยู่ สนใจไปลองออดิชันดูไหม? ตอนนั้นเธอตกใจมาก เพราะไม่คิดว่าโอกาสจะมาแบบไม่ทันตั้งตัว และเป็นโอกาสที่ดีมากด้วย ซึ่งเธอก็ตอบตกลงแทบจะทันที

เป็น MC ในคลับ

ด้วยความเป็นโปรเฟสชันแนล (หัวเราะ) ไอ้เราก็คิดว่าจะมานั่งทำเดโมแบบธรรมดาไม่ได้ ก็ไปจองสตูดิโอและอัดเสียง ซึ่งด้วยความพยายามและความตั้งใจ ประกอบกับน้ำเสียงที่มีเอกลักษณ์ ที่มีพลังงานเยอะ ทำให้ทีมผู้บริหารประทับใจ ตกลงรับเราร่วมงานด้วยเธอเล่าถึง จุดเปลี่ยนสำคัญ ครั้งนี้ให้ฟัง พร้อมเล่ารายละเอียดเบื้องหลังเรื่องนี้เพิ่มเติมอีกว่า จนเมื่อเวลาผ่านไป 2 สัปดาห์ เธอก็มีโอกาสทำรายการแรก โดยเป็นการพูดในห้องอัดเสียง แล้วทีมงานจะนำเสียงเธอไปเปิดในรายการสดที่เวทีมวย ในช่วงแรก ๆ ของงานนี้เธอจะทำงานโดยการอัดเสียงในห้องอัดอย่างเดียว  ซึ่งเธอก็มองว่าเป็นเรื่องที่ดีที่ทำให้ได้พัฒนาตัวเองให้เก่งขึ้น ทำให้มีประสบการณ์มากขึ้น เพราะหากไปทำรายการสดเลยแต่แรก แม้แต่ตัวเธอเองก็คิดว่าไม่น่ารอด เพราะไม่เคยมีประสบการณ์มาก่อน ซึ่งเธอทำงานอยู่ในห้องอัดเป็นปี จนที่สุดก็ได้ทำรายการสด

ครั้งแรกที่ทำรายการสดพูดสดในสนาม รู้สึกตื่นเต้นมาก คิดในใจว่าห้ามผิดพลาด เพราะผิดพลาดไม่ได้ เราจึงต้องเตรียมตัวให้ดีทุกอีเวนต์ ทุกรายละเอียดเล็ก ๆ ทั้งเรื่องน้ำเสียง เวลา ดนตรี เพราะทุกอย่างต้องลงตัว โดยเราจะต้องจดชื่อนักกีฬาทุกคนไว้ รวมถึงเพลงเปิดตัว และการออกเสียงชื่อ เรียกได้ว่าต้องแกะเพลงออกเป็นวินาที และกำหนดเวลาที่จะต้องประกาศชื่อประเทศ ชื่อนักกีฬา และสิ่งที่ต้องพูด คือทุกอย่างต้องเป๊ะมาก ๆ หลักวินาทีเลย แต่ก็ผ่านมาได้ด้วยดี จากนั้นจึงได้ทำหน้าที่นี้มาตลอดนาร่ากล่าว ทั้งนี้ หลังจากทำงานเป็น MC ของรายการวันแชมเปียนชิพเข้าปีที่ 8 เธอก็ได้รับบทบาทใหม่ คือ ทำหน้าที่เป็นพิธีกรบนเวทีรายการวันลุมพินีของประเทศไทย ซึ่งเจ้าตัวเล่าถึงการที่ได้มาเป็นพิธีกรบนเวทีของรายการนี้ว่า ก่อนที่จะมีรายการนี้ ก็มีคนมาถามเธอว่ามีเพื่อนที่เป็นผู้ประกาศบนเวทีไหม เธอก็ไปติดต่อเพื่อน ๆ ในวงการ เสนอชื่อเพื่อนให้ไป 10 กว่าคน แต่ก็ไม่ได้รับเลือกสักคน ซึ่งเธอเองก็มองว่างานนี้น่าสนใจ เพราะงานพิธีกรบนเวทีเป็นงานที่เธอยังไม่เคยทำ จึงตัดสินใจจะลองออดิชัน โดยถ่ายวิดีโอส่งไป จนผ่านไป 1 เดือนทางทีมงานก็ตัดสินใจให้เธอทำหน้าที่  ซึ่งเธอก็ทำหน้าที่เป็นพิธีกรบนเวทีอยู่ที่วันลุมพินีตั้งแต่อีเวนต์แรก จนตอนนี้เข้าสู่อีเวนต์ที่ 34 แล้ว

เป็นพิธีกรเวทีมวย

เอาจริง ๆ ตอนนั้นยังคิดเลยว่าเราจะทำได้ไหม? (หัวเราะ) แต่ก็บอกตัวเองว่าเราทำได้ แค่ทำให้เต็มที่ ซึ่งตอนนั้นก็ฝึกซ้อมเตรียมความพร้อมอยู่ 2 เดือน ซึ่งเมื่อถึงเวลาต้องทำงานจริงก็ผ่านไปได้ด้วยดี ทุกวันนี้จึงได้ทำหน้าที่เป็นพิธีกรรายการนี้ ซึ่งเป็นงานที่ทำให้เรามีความสุขมาก แต่ก็ยังมีตื่นเต้นอยู่ โดยเฉพาะในเรื่องการออกเสียงชื่อนักมวย เพราะถ้าออกเสียงผิด ความหมายก็เปลี่ยนนาร่าเผยความรู้สึกเรื่องนี้ โดยการที่ได้ทำหน้าที่นี้ เหตุนี้จึงทำให้เธอเป็นพิธีกรผู้หญิงไทยคนแรกในไทย” ที่ทำหน้าที่พิธีกรเวทีมวยของรายการวันลุมพินี

ตอนนี้เรารู้สึกอินและหลงรักมวยไทยมากขึ้น หลังจากที่มาทำหน้าที่นี้ เรามองว่านักมวยไทยเป็นนักสู้ที่สู้เพื่อชีวิต ยิ่งเวลาที่นักมวยชกชนะและได้โบนัสเป็นเงินจำนวนมาก ๆ เราเองก็ยังอดที่จะดีใจไปกับเขาด้วยไม่ได้

กับ “มิทช์ ชิลสัน” นักมวยที่มาเป็นพิธีกร

ไหน ๆ ก็เจอตัวจริง-เสียงจริงแล้ว ทีมวิถีชีวิต จึงถามเธอถึง เคล็ดลับในอาชีพ MC” โดยเธอก็ได้ให้คำแนะนำสำหรับคนที่สนใจอยากจะทำงานในอาชีพนี้ โดยเฉพาะการเป็น “MC รายการมวย ว่า เริ่มจาก ต้องฝึกเสียงตัวเองให้มีเอกลักษณ์ และก็ ต้องพยุงเสียงตัวเองให้ได้ในระยะยาวด้วยการรักษาเสียง ไม่ทำอะไรที่เสี่ยงทำให้เสียงหาย และที่เหลือคือ ต้องมุ่งมั่นตั้งใจฝึกอย่างจริงจัง เพื่อเตรียมตัวเองให้พร้อมที่สุด เพราะเมื่อโอกาสวิ่งเข้ามา ก็จะได้พร้อมรับโอกาส

ก่อนจบบทสนทนากับ นาร่านรา พิธีกรหญิงคนแรกในไทยของรายการวันลุมพินี ทีมวิถีชีวิต ถามถึง เป้าหมายชีวิต และเรื่องงานด้านดนตรีที่เป็นความฝันในวัยเด็ก ว่ายังอยู่ในใจเธออีกไหม?? โดยเธอตอบว่า ตอนนี้ขอทำหน้าที่ปัจจุบันให้ดีที่สุดเสียก่อน เธออยากโฟกัสให้เต็มที่เพื่อให้งานออกมาดีที่สุด เพราะกับงานตรงนี้เธอก็ยังมองตัวเองว่ายังเป็นมือใหม่ ที่ยังต้องฝึกฝนประสบการณ์ และต้องพัฒนาตัวเองอยู่เสมอ แต่… งานด้านดนตรีก็คงไม่ทิ้ง

จะเป็นความฝันที่มีอยู่กับตัวเสมอ“.

‘เด็กนอกสายมู’ ศรัทธา ‘พระพิฆเนศ’

แม้จะเป็นเด็กนอก แม้จะเป็นสาวเท่ แต่ใครจะคิดว่า “นาร่า-นรา ชมภูนิช” เธอคนนี้ มีความสนใจและความเชื่อเรื่อง “สิ่งศักดิ์สิทธิ์” และเรื่อง “ดวง” โดยเธอบอกว่า แม้การมายืนที่จุดนี้ได้จะเกิดจากความพยายามตั้งใจ แต่เธอก็คิดว่า กับโอกาสดี ๆ ที่เข้ามาแบบไม่ทันตั้งตัวนั้น ก็น่าจะมีเรื่องของดวงเข้ามาเป็นส่วนช่วยหนุนเสริมด้วย โดยเธอนับถือศาสนาพุทธ และก็เป็นคนที่เชื่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ และเรื่องดวงด้วย ซึ่งช่วงที่รอการตอบกลับจากค่ายเพลง ตอนนั้นเธอก็ได้ไปเข้าวัดเพื่อทำบุญไหว้พระขอพรให้ได้โอกาส แล้วที่สุดก็ได้โอกาสนั้นมา ทั้งนี้ นาร่า บอกว่า ตอนแรกเธอก็ไม่ได้รู้ไม่ได้เชื่อเรื่องนี้ แต่มีเพื่อน ๆ ที่เขานับถือเรื่องนี้ ได้ชวนเธอให้ไปกราบไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์เพื่อขอพร จึงมีโอกาสได้เข้าวัดอยู่เรื่อย ๆ จนค่อย ๆ รู้สึกอินเพิ่มขึ้น… ’เรามองว่าใช้ยึดเหนี่ยวจิตใจได้ เมื่อใดที่เรากังวลหรือท้อแท้ก็ไปกราบพระ ไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ ทำให้สงบ เป็นเหมือนที่พึ่งทางใจ ส่วนใครจะเชื่อไม่เชื่อก็แล้วแต่บุคคล แต่เราเชื่อ โดยเฉพาะองค์พระพิฆเนศนั้นเป็นสิ่งที่เรานับถือที่สุด“.

บดินทร์ ศักดาเยี่ยงยงค์ : รายงาน