ยอมรับว่าต้องปรับตัวเยอะมาก ก็ไม่ได้ร้ายกาจอะไรเหมือนอย่างในละคร แต่ก็มีเรื่องที่คนที่จะมาเป็นสะใภ้จีนนั้นต้องศึกษาอยู่พอสมควร เสียงจาก เนสณัฐริณี รัศมีฤกษ์เศรษฐ์ บอกเล่าให้ฟังถึงการเป็น สะใภ้จีนที่ประเทศจีน โดยเรื่องราวชีวิตของหญิงไทยในจีนคนนี้มีเส้นทางน่าสนใจ เพราะนอกจากจะเป็นสะใภ้จีนแล้ว ยังเป็นนักธุรกิจหญิงไทยในจีน เป็นที่ปรึกษากฎหมายในประเทศจีน อีกทั้งเธอยังเป็น แอดมินผู้ก่อตั้งเฟซบุ๊กเพจ สะใภ้จีน by ฮูหยินปักกิ่ง ที่มีผู้ติดตามราว 3.6 หมื่นคนอีกด้วย ซึ่งวันนี้ ทีมวิถีชีวิต จะพาไปสนทนากับเธอคนนี้กัน…

“เนส-ณัฐริณี” ปัจจุบันอายุ 36 ปี ทำงานเป็นที่ปรึกษากฎหมายระหว่างประเทศให้บริษัท YingZhong Law Offices ในกรุงปักกิ่ง ประเทศจีน เธอเป็นสาวไทยในจีนที่พ่วงด้วยตำแหน่ง “สะใภ้จีน” หลังแต่งงานกับสามี คือ “มร.จื่อจ้าว” โดยมีโซ่ทองคล้องใจเป็นลูกชาย 2 คน คนโตชื่อ “น้องออสติน” อายุ 7 ขวบ คนเล็กชื่อ “น้องแอชตัน” อายุ 5 ขวบครึ่ง ซึ่งนอกจากเธอจะทำงานเป็นที่ปรึกษาทางกฎหมาย ยังมีบริษัทของตัวเองกับร้านอาหารด้วย โดยเนสเล่าเส้นทางชีวิตให้ “ทีมวิถีชีวิต” ฟังว่า เธอเป็นหญิงไทยที่ใช้ชีวิตอยู่ในจีนมานานกว่า 10 ปีแล้ว ซึ่งพื้นเพเธอเป็นคนกรุงเทพฯ เรียนจบปริญญาตรีคณะนิติศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และหลังจากได้ใบทนายความแล้วก็ไปเรียนต่อปริญญาโทที่คิงส์คอลเลจ ลอนดอน ประเทศอังกฤษ จนได้พบกับสามีของเธอที่นี่ ซึ่งเวลานั้นสามีเธอเรียนอยู่คณะวิศวกรรมฯ โดยเธอเจอกับสามีในคาบเรียนวิชาภาษาอังกฤษ

จริง ๆ ตอนนั้นคุณพ่อของเนสแนะนำให้ไปสอบผู้พิพากษา ซึ่งมันจะต้องสอบ 2 สนาม คือต้องเรียนปริญญาโท 2 ใบ เนสก็เลยคิดว่า งั้นก็เรียนที่อังกฤษ 1 ใบ และก็คิดไว้ว่าจะไปเรียนที่จีนอีก 1 ใบ เพราะอเมริกากับสิงคโปร์เราเคยไปแล้ว ซึ่งตอนนั้นไม่ค่อยมีใครสนใจจีนมากนัก แต่หลังปี 2008 เมื่อจีนเปิดรับโอลิมปิก ก็ทำให้ทุกคนรู้จักจีนมากขึ้น ตอนนั้นเนสได้ยื่นใบสมัครเรียนมหาวิทยาลัยปักกิ่ง เพราะรัฐบาลให้ทุนอยู่ฟรีและออกค่าใช้จ่ายให้ แต่ค่าเทอมเสียตามปกติ เราก็เลือกไปเรียนที่จีน ซึ่งเนสไปเรียนร่วมกับเด็กต่างชาติที่มีทั้งยุโรปและเอเชีย

ส่วน “จุดเริ่มต้นชีวิตรัก” จน “เป็นสะใภ้จีน” เนสบอกว่า ปักกิ่งเป็นเมืองบ้านของสามี คือ มร.จื่อจ้าว ซึ่งเมื่อเธอต้องเรียนที่จีน สามีซึ่งตอนนั้นยังเป็นเพื่อนกันก็มาช่วยดูแลซัพพอร์ตเรื่องต่าง ๆ ตลอด ทำให้ความสัมพันธ์ค่อย ๆ พัฒนากลายเป็นแฟน และหลังคบหาดูใจกันอยู่ 3 ปีก็แต่งงานกัน จากนั้นเธอก็อยู่จีนมาตลอด โดยเธอเล่าถึงช่วงที่ต้องใช้ชีวิตที่จีนหลังแต่งงานว่า ตอนแรกก็ไม่รู้จะทำอาชีพอะไร จึงเปิดร้านอาหารในห้างสรรพสินค้า เป็นคาเฟ่แอนด์เรสเตอรองท์ จนเมื่อเธอมีลูก จู่ ๆ ทางห้างที่ร้านอาหารของเธอตั้งอยู่ก็มาบอกว่าขอให้ออกไปขายที่อื่นได้ไหม โดยทางนั้นยอมจ่ายเงินค่าผิดสัญญาให้ ซึ่งร้านนี้เธอรับเซ้งต่อมาจากคนอื่น เนื่องจากค่าเช่าถูก แต่เธอก็ตกลงใจที่จะออกตามที่ถูกร้องขอ และปรากฏพอปิดร้านนี้ โควิด-19 ก็มาพอดี

เนสณัฐริณี เล่าอีกว่า พอร้านอาหารก็ไม่ได้ทำ โควิด-19 ก็มา ก็ทำอะไรไม่ได้ ตอนนั้นจึงเริ่มเข้าสู่อาชีพการขายของออนไลน์ โดยร่วมทุนกับเพื่อน ๆ ที่ปักกิ่ง ระหว่างนั้นก็รับงานเป็นที่ปรึกษาทางกฎหมายไปด้วย แต่ยังไม่ได้ทำเป็นรูปแบบบริษัทจริงจัง ซึ่งตอนนั้นก็จะให้คำปรึกษา เช่น คนที่จะแต่งงานจะต้องใช้เอกสารอะไร หรือคนจะหย่ากันจะต้องทำอย่างไร เป็นต้น ซึ่งเธอก็ทำมาเรื่อย ๆ จนเข้าปีที่ 2 ของโควิด ตลาดออนไลน์ก็บูมในประเทศจีนมาก เธอจึงทำเพจเกี่ยวกับอาหารไทยขึ้นมา ปรากฏมีคนเข้ามาติดตามเยอะมาก แต่ก็ยังไม่ได้คิดจะทำอะไรต่อ จนปีต่อมาเธอถูกชวนให้ไปทำงานกับบริษัทที่ปรึกษากฎหมาย ซึ่งมีกลุ่มลูกค้าเป็นคนจีนที่อยากมาทำธุรกิจหรือเปิดตลาดที่เมืองไทย โดยเธอทำหน้าที่ให้บริการคำปรึกษาคนจีนในเรื่องต่าง ๆ อาทิ แนะนำคนจีนที่อยากจะซื้อขายอสังหาริมทรัพย์ในไทย หรือทำเอกสารเพื่อยื่นขอการลงทุน เป็นต้น

สำหรับเรื่อง การปรับตัว ในฐานะที่เป็น หญิงไทยสะใภ้จีน นั้น เนสเล่าให้ฟังว่า ปรับตัวเยอะมาก เพราะปักกิ่งเป็นเมืองที่หนาวมาก ไม่ใช่หนาวธรรมดา แต่หนาวเข้ากระดูกเลย ดังนั้นคนที่ต้องอยู่เมืองจีนจริง ๆ มีสิ่งที่ต้องปรับตัวให้ได้ก็คือ 1.สภาพอากาศ 2.อาหารการกิน 3.เรื่องครอบครัว นี่เป็นสิ่งที่คนไทยจะต้องรู้-ต้องปรับตัวให้ได้ อย่างไรก็ตาม เธอบอกว่า เธอนั้นโชคดีมาก ๆ โดยเฉพาะในข้อ 3 คือเรื่องครอบครัว เพราะพ่อแม่สามีเป็นจีนสมัยใหม่ ทำให้ไม่เข้ามาวุ่นวายอะไรเลย แถมยังช่วยซัพพอร์ตครอบครัวของเธอด้วย เช่น เธออยากทำอะไร พ่อแม่ของสามีก็จะคอยช่วย และคอยเป็นกำลังใจอยู่ห่าง ๆ อย่างไรก็ดี จะมีอยู่บ้างนิดหนึ่งคือในช่วงที่เธอตั้งท้อง และคลอดลูกใหม่ ๆ ซึ่งแม่สามีจะเป็นห่วง จึงมาอยู่ใกล้ ๆ เพื่อดูแล

ตอนรับปริญญาที่จีน

ความจริงท่านก็คงไม่อยากมายุ่งกับเราหรอก (หัวเราะ) น่าจะห่วงหลาน อยากเห็นหลานมากกว่า เพราะเราคลอดลูกชายถึง 2 คน ก็เป็นธรรมดาที่ท่านจะอยากดูแลเป็นพิเศษ เพราะการที่ได้ลูกชายคนแรก คนจีนได้หลานชาย มีความเชื่อเรื่องความเป็นมงคลของคนจีน ซึ่งคตินิยมเรื่องนี้ ปัจจุบันนี้ก็ทำให้จีนมีปัญหามาก ๆ เพราะมีประชากรชายเยอะกว่าหญิง ทำให้ตอนนี้ผู้หญิงไทยเป็นที่หมายปองของผู้ชายจีนเยอะมาก

เธอยังเล่าให้ฟังอีกว่า คนจีนแต่ละพื้นที่ก็มีวิถีวัฒนธรรมแตกต่างกัน แม้จะอยู่ในจีนเหมือนกัน ซึ่งเธออยู่ที่ปักกิ่ง แต่พ่อแม่สามีเป็นคนอันอุ้ยซึ่งเป็นจีนทางใต้ ก็จะมีความเชื่อวัฒนธรรมบางอย่างต่างจากปักกิ่ง นอกจากนี้ก็ยังมีเรื่องความเชื่อเกี่ยวกับศาสตร์แพทย์แผนจีน เช่น ห้ามกินน้ำแข็ง ห้ามกินของเย็น ห้ามกินของเผ็ด เป็นต้น ซึ่งยังเป็นวัฒนธรรมที่หนักแน่นและมีอยู่ถึงทุกวันนี้ อย่างไรก็ตาม เธอบอกว่า แต่ก็เบาลงไปเยอะถ้าเทียบกับในอดีต เพราะตอนนี้เป็นจีนยุคใหม่ ด้วยความที่โลกมันเปลี่ยนไป และครอบครัวของสามีเป็นยุคที่มีเงินพอดี ทำให้ไอเดียหรือความคิดจึงเป็นคนสมัยใหม่ เช่น ส่งลูกชายไปเรียนเมืองนอก รับได้กับการที่จะมีสะใภ้เป็นคนต่างชาติ ซึ่ง เนสณัฐริณี เธอยอมรับว่า ตอนแรกก็กังวล ก็มีกลัวนิดหน่อยว่าครอบครัวสามีจะไม่ยอมรับ หรือกลัวว่าเวลาทะเลาะกันแล้วจะอุ้มลูกหนีเธอไปหรือไม่ เนื่องจากคนจีนค่อนข้างจะหวงลูกหวงหลาน

จัดงานแต่งที่จีน – ไทย

ส่วน คำแนะนำการใช้ชีวิตที่จีน ในฐานะเป็นผู้มีประสบการณ์มากว่า 10 ปี เธอแนะนำว่า ส่วนใหญ่คนที่ไปอยู่จีน ต้องใช้เวลาอย่างน้อย 5 ปีในการปรับตัว โดย 2 ปีแรกคือช่วงที่ตื่นเต้น สนุกสนานที่สุด เพราะเพิ่งอยู่ใหม่ ๆ จนเข้าปีที่ 3 จะเริ่มสังเกตได้ว่าไม่ใช่อย่างที่คิดแล้ว เพราะจะเจอปัญหาต่าง ๆ และพอเข้าปีที่ 4 และ 5 จะเป็นปีที่ทรมานมาก เพราะจะเป็นช่วงแห่งการแก้ปัญหา ทำให้ในช่วงนี้แทบทุกคนต่างอยากจะกลับบ้าน แต่ถ้าปรับตัวได้ พอผ่านปีที่ 5 หรือ 6 แล้ว ทุกอย่างก็จะสบาย

เอาจริง ๆ ไม่ได้ชอบที่ต้องอยู่จีนนะ แต่เรียนกฎหมายมา ซึ่งการเป็นที่ปรึกษากฎหมายที่จีนทำงานได้ดีมาก ๆ เพราะคนจีนยุคใหม่มักจะใช้เงินแก้ปัญหา อาชีพที่ปรึกษากฎหมายจึงเป็นที่ต้องการมาก อีกอย่างเนสมองว่า อาชีพนี้ทำให้เพิ่มโอกาสชีวิตได้หลายอย่าง เช่น ทำให้เราได้บินกลับไทยทุกเดือน เพราะได้ตั๋วที่ลูกค้าออกให้ เพื่อให้เราช่วยมาดูแลเคส เราต้องบินเพื่อดูงานให้ลูกค้า แต่ไม่จำเป็นต้องเทกแคร์ เนสบินกลับมาเมืองไทยทุกเดือน เพราะตั๋วฟรี  (หัวเราะ) ก็เป็นข้ออ้างกับทางโน้นในการกลับมาไทยด้วย คือทำงาน แล้วก็ถือโอกาสมาเยี่ยมพ่อแม่ด้วย

ถ่ายไลฟ์ขายของออนไลน์

เนสยังบอกด้วยว่า ก็สนุกมากที่ได้ค้าขายออนไลน์ด้วย เพราะเธอชอบค้าขายมาก โดยธุรกิจครอบครัวที่ไทยของพ่อแม่ก็มีโรงงานไม้อัด ซึ่งการได้อยู่ที่จีนก็ทำให้เธอได้เดินทางไปดูโรงงานต่าง ๆ มากมาย ทำให้เธอมองเห็นช่องทางทำมาค้าขายเกี่ยวกับการส่งออกสินค้า โดยเฉพาะการค้าขายผ่านทางตลาดออนไลน์ โดยเธอบอกว่าตลาดออนไลน์ที่จีนบูมมา 10 ปีแล้ว แต่ที่เมืองไทยเพิ่งจะบูมช่วง 5 ปีที่ผ่านมานี้ ซึ่งบริษัทจีนที่ดัง ๆ นั้น บูมจนไม่มีที่จะไปแล้ว นักธุรกิจจีนจึงต้องขยายไปที่อื่น เช่น อเมริกา, อังกฤษ, ยุโรป แต่ก็มักจะโดนรัฐบาลของประเทศเหล่านั้นกีดกัน… คนจีนเลยหันมาหาตลาดไทย ซึ่งเหมือนทางรัฐบาลจีนได้วางแผนไว้แล้วว่าอยากจะให้ไทยเป็นศูนย์กลางที่สำคัญของเขาด้วย เขาจึงวางแผนสร้างทางรถไฟและถนนไว้ ซึ่งในช่วง 2-3 ปีนี้ ไทยจะเนื้อหอมแบบสุด ๆ ในการเป็นจุดหมายที่คนจีนอยากเข้ามาลงทุน

เนสณัฐริณี ผู้ก่อตั้งเพจ สะใภ้จีน by ฮูหยินปักกิ่ง กล่าวทิ้งท้ายกับ ทีมวิถีชีวิต ว่า งานหลักเธอตอนนี้คือที่ปรึกษากฎหมาย งานรองคือค้าขายออนไลน์ และอีกบทบาทที่ต้องทำคือดูแลลูกชายและครอบครัว โดยเฉพาะบทบาทหน้าที่ประการหลังนี้เธอตั้งใจทำให้ดีที่สุด อยากทำหน้าที่แม่ให้ดีที่สุด ซึ่งคนจีนค่อนข้างให้ความสำคัญกับการเลี้ยงลูก ทำให้ช่วงที่คลอดลูกใหม่ ๆ พ่อแม่สามีถึงกับบอกว่าไม่อยากให้เธอทำงาน อยากให้เลี้ยงลูกอย่างเดียว ถึงขั้นเอ่ยปากบอกกับเธอว่า เธออยากได้เงินเท่าไหร่ หรือถามว่าได้เงินเดือนเท่าไหร่ บอกว่าเธอจะไปทำงานทำไม… แต่เราก็มีความมุ่งมั่นส่วนตัว

ทั้งอยากทำงาน และทำหน้าที่แม่

อยากทำทั้ง 2 หน้าที่ให้ดีที่สุด“.

ทำคลิปให้ข้อมูลเกี่ยวกับจีน

‘คนจีนชื่นชอบคนไทยมาก??’

“เนส-ณัฐริณี” เล่าถึง “จื่อจ้าว” สามีเธอด้วยว่า เป็นหลานชายคนโตของครอบครัว เมื่อมีลูกชาย ผู้ใหญ่ในครอบครัวของฝั่งสามีก็จึงมีหลานชายเหลนชายคนโต ด้วยเหตุนี้คนอื่น ๆ ในครอบครัวของสามี นอกเหนือจากพ่อแม่ของสามี จึงรู้สึกดีกับเธอ และมองเป็นลูกหลานคนหนึ่งในตระกูลของเขา ซึ่งเธอบอกว่า ’คนจีนนั้นชื่นชอบคนไทยมาก“ อย่างเวลาที่เธอไปตามต่างจังหวัดในประเทศจีน คนก็จะเข้ามาพูดคุยกับเธอดีมาก ซึ่งส่วนหนึ่งก็อาจเพราะเป็นคนต่างชาติ และอีกส่วนก็น่าจะเพราะการที่เป็นคนไทย ซึ่งส่วนใหญ่คำชมที่ได้รับมาก็คือ คนไทยหน้าตาดี ผิวพรรณดี อย่างไรก็ตาม ถ้าคนไทยจะอยู่ในจีน ก็ต้องเข้าใจการใช้ชีวิตในจีน ปรับตัวเข้ากับวัฒนธรรมจีน รวมถึงกฎหมายจีนด้วย ซึ่งถ้าทำได้ก็จะมีความสุขในการใช้ชีวิตที่นี่… ’จริง ๆ ไม่ว่าอยู่จีน หรือที่ไหน ก็ต้องปรับตัว เนสเคยคุยกับพี่ ๆ ที่เขาแต่งงานกับคนยุโรป คนอเมริกา เขาก็ต้องปรับตัวเช่นกัน ดังนั้นก็ต้องเรียนรู้ อย่ามองว่ามีปัญหาแล้วต้องหนี แต่อยากให้มองว่ามีปัญหาแล้วต้องหาวิธีแก้จะดีกว่า“.

เชาวลี ชุมขำ : รายงาน