เป็นที่ทราบกันดีว่า สถานการณ์สภาพภูมิอากาศโลกในปัจจุบันนั้น มีความรุนแรงและส่งผลกระทบเป็นวงกว้างอย่างต่อเนื่อง องค์การอุตุนิยมวิทยาโลกคาดการณ์ว่า อุณหภูมิเฉลี่ยโลกอาจเพิ่มขึ้นแตะระดับ 1.5 องศาเซลเซียส เมื่อเทียบกับยุคก่อนอุตสาหกรรม ภายในปี 2027 ซึ่งเร็วกว่าที่คาดการณ์ไว้ก่อนหน้านี้

ประเทศไทย ซึ่งเป็นหนึ่งในประเทศที่มีความเสี่ยงสูงสุดต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศในอันดับต้นๆ ของโลก กำลังเผชิญกับผลกระทบที่ชัดเจน อาทิ อุณหภูมิเฉลี่ยที่สูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง และปริมาณฝนที่ผันผวนรุนแรงมากขึ้น โดยเฉพาะในปีที่เกิดปรากฏการณ์เอลนีโญ ซึ่งส่งผลให้ปริมาณฝนลดลงอย่างมีนัยสำคัญ ขณะที่ในปีที่เกิดปรากฏการณ์ลานีญาก็มีแนวโน้มที่จะเกิดฝนตกหนักมากขึ้น

สถานการณ์ดังกล่าวสอดคล้องกับสถิติที่บันทึกไว้ โดยปี 2016 เป็นปีที่โลกเผชิญกับอุณหภูมิสูงสุดเป็นประวัติการณ์ ซึ่งสูงกว่าระดับก่อนยุคอุตสาหกรรมถึง 1.28 องศาเซลเซียส ข้อมูลเหล่านี้สะท้อนให้เห็นถึงความเร่งด่วนในการรับมือกับวิกฤตสภาพภูมิอากาศ และความจำเป็นในการดำเนินมาตรการเพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกอย่างเร่งด่วน

วิกฤตที่กำลังเกิดขึ้นนี้ส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อ ‘ภาคการเกษตร’ ของไทย โดยเฉพาะความผันผวนของสภาพอากาศที่รุนแรงขึ้น เช่น ภัยแล้งและอุทกภัย ทำให้ผลผลิตทางการเกษตรลดลงและมีความไม่แน่นอนสูงขึ้น ส่งผลกระทบต่อความมั่นคงทางอาหารของประเทศ แม้ว่าไทยจะมีศักยภาพทางการเกษตรสูงและเป็นที่รู้จักในฐานะ ‘ครัวของโลก’ แต่พืชเศรษฐกิจหลัก อย่าง ข้าวและอ้อย ซึ่งครอบคลุมพื้นที่เพาะปลูกส่วนใหญ่ของประเทศ กลับเผชิญกับปัญหาผลผลิตต่อไร่ต่ำกว่าคู่แข่ง และมีความอ่อนไหวต่อการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศเป็นอย่างยิ่ง สะท้อนให้เห็นจากผลผลิตปาล์มน้ำมันที่ลดลงอย่างมีนัยสำคัญในช่วงที่เกิดภัยแล้งรุนแรงเมื่อปี 2557-2559

เช่นเดียวกันกับ ‘ภาคประมง’ ที่กำลังเผชิญกับภาวะอุณหภูมิน้ำทะเลที่สูงขึ้น การศึกษาของ Marine Stewardship Council ชี้ให้เห็นว่าปัญหาดังกล่าวเป็นอุปสรรคสำคัญต่อการผลิตสัตว์น้ำในเขตร้อน โดยคาดการณ์ว่าผลผลิตจะลดลงอย่างมากภายในปี 2050 ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อห่วงโซ่อาหารและเศรษฐกิจในวงกว้าง

ข้อมูลจากศูนย์วิจัยกสิกรไทย ระบุว่า การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่ทวีความรุนแรงขึ้นส่งผลกระทบต่อภาคเกษตรและอาหารของไทยอย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านผลผลิตที่ผันผวน ซึ่งส่งผลกระทบต่อห่วงโซ่อุปทานตั้งแต่เกษตรกรไปจนถึงผู้บริโภค เกษตรกรประสบปัญหาผลผลิตลดลง ส่งผลกระทบต่อรายได้ และธุรกิจแปรรูปอาหารจำนวนมากต้องเผชิญกับต้นทุนวัตถุดิบที่สูงขึ้น เนื่องจากการขาดแคลนวัตถุดิบ ซึ่งส่งผลให้ราคาสินค้าเกษตรและอาหารบางประเภท เช่น น้ำมันพืชและน้ำตาลทรายขาว เพิ่มสูงขึ้น หรืออาจขาดแคลน อีกทั้งผู้ประกอบการที่นำเข้าวัตถุดิบอาหารของไทยเผชิญความเสี่ยงจากการลดปริมาณการส่งออกของประเทศคู่ค้าสำคัญ อาทิ อาร์เจนตินาและออสเตรเลีย ซึ่งเกิดจากผลกระทบของสภาพอากาศที่ผันผวน ทำให้จำเป็นต้องแสวงหาแหล่งวัตถุดิบใหม่ ผลกระทบเหล่านี้ส่งผลต่อความมั่นคงทางอาหารของประเทศในระยะยาว

นอกจากนี้ ภาคการเกษตรไทยยังต้องแบกรับความท้าทายอีก 2 ประการหลัก โดยประการแรกคือ ผลผลิตทางการเกษตรมีความผันผวนสูงขึ้นเนื่องจากสภาพภูมิอากาศที่เปลี่ยนแปลงรุนแรง ส่งผลกระทบต่อปริมาณและคุณภาพสินค้าส่งออก ส่วนประการที่สองคือ มาตรการด้านสิ่งแวดล้อมที่เข้มงวดขึ้นของสหภาพยุโรปและสหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นตลาดส่งออกหลักของไทย กำลังสร้างแรงกดดันให้ภาคการเกษตรต้องปรับตัวอย่างเร่งด่วน กล่าวคือสหภาพยุโรปได้ประกาศนโยบายสำคัญหลายฉบับ เช่น ยุทธศาสตร์ Farm to Fork ที่มุ่งเน้นการผลิตอาหารอย่างยั่งยืนและลดการใช้สารเคมี รวมถึงกฎหมายสินค้าปลอดการตัดไม้ทำลายป่า (EUDR) ซึ่งกำหนดมาตรฐานที่เข้มงวดสำหรับสินค้าเกษตรหลายชนิดที่นำเข้าสู่ตลาดยุโรป นอกจากนี้ ผู้ผลิตอาหารรายใหญ่ทั่วโลกยังมีการกำหนดมาตรฐานความยั่งยืนของตนเอง ซึ่งส่งผลให้ผู้ส่งออกไทยต้องปรับปรุงกระบวนการผลิตและเพิ่มต้นทุนในการดำเนินงาน

อีกทั้ง ‘การผลิตข้าว’ และ ‘ปศุสัตว์’ ของไทย ยังปล่อยก๊าซเรือนกระจกสูงกว่ามาตรฐานสากลและคู่แข่งสำคัญ อย่าง เวียดนาม อินเดีย และบราซิล โดยเฉพาะภาคปศุสัตว์ที่มีปริมาณการปล่อยก๊าซสูงกว่าภาคการผลิตข้าวถึงสิบเท่า หากผู้ประกอบการไทยไม่สามารถลดปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้ตามเป้าหมาย จะส่งผลกระทบต่อความสามารถในการแข่งขันและส่วนแบ่งตลาดส่งออกสินค้าเกษตรและอาหารของไทยในระยะยาว โดยกลุ่มผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบสูงสุดคือผู้ประกอบการในภาคผักผลไม้แปรรูป อาหารทะเล และเนื้อสัตว์แปรรูป ซึ่งพึ่งพาตลาดส่งออกเป็นหลัก โดยมีสัดส่วนการส่งออกมากกว่า 50% ของผลผลิตทั้งหมด ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยของภาคการเกษตรและอาหารขั้นกลางน้ำ-ปลายน้ำ

หากผู้ประกอบการไทยไม่เร่งปรับตัวเพื่อรับมือกับความท้าทายจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ สัดส่วนมูลค่าการส่งออกสินค้าเกษตรและอาหารของไทย ซึ่งปัจจุบันมีมูลค่าสูงถึง 4.2 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือคิดเป็น 15% ของมูลค่าการส่งออกทั้งหมด อาจลดลงต่ำกว่า 15% ซึ่งถือเป็นสัดส่วนที่สำคัญต่อเศรษฐกิจไทย และเป็นรองเพียงอินโดนีเซียในภูมิภาคอาเซียน

โดยสรุปแล้ว ข้อมูลข้างต้นชี้ให้เห็นว่า การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศนอกจากจะกดดันให้ปริมาณผลผลิตและคุณภาพสินค้าลดลงแล้ว ยังผลักดันให้เกิดต้นทุนการผลิตที่สูงขึ้น อีกทั้งยังต้องเผชิญกับมาตรการทางการค้าที่เข้มงวดขึ้นด้านสิ่งแวดล้อมจากประเทศคู่ค้า ซึ่งอาจส่งผลให้สัดส่วนการส่งออกสินค้าเกษตรและอาหารของไทยลดลงต่ำกว่า 15% ของมูลค่าการส่งออกทั้งหมด

แรงกดดันดังกล่าวจะเร่งให้ผู้ประกอบการไทยต้องปรับตัวเพื่อให้สอดคล้องกับมาตรฐานสากล โดยการลงทุนในเทคโนโลยีและกระบวนการผลิตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม แม้จะต้องใช้ต้นทุนเพิ่มขึ้นในระยะสั้น แต่ในระยะยาวจะช่วยสร้างความได้เปรียบในการแข่งขันและเปิดโอกาสทางการตลาดในประเทศที่ให้ความสำคัญกับสินค้าที่ยั่งยืน

อย่างไรก็ตาม ผู้ประกอบการไทยจำเป็นต้องพิจารณาถึงปัจจัยต่างๆ อย่างรอบคอบในการตัดสินใจลงทุนปรับตัว อาทิ ต้นทุนการปรับตัว ต้นทุนจากการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และความเสี่ยงที่จะสูญเสียตลาดหากไม่สามารถปรับตัวได้ทัน

ขอบคุณข้อมูลจาก: ศูนย์วิจัยกสิกรไทย