เนื่องในวันเอดส์โลกวันที่ 1 ธ.ค.ที่ผ่านมา สถาบันยุวทัศน์แห่งประเทศไทย (ยท.) ร่วมกับสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) มูลนิธิเข้าถึงเอดส์ สายด่วน 1663 เครือข่ายประชาชนขจัดการเลือกปฏิบัติ (MovED) และเครือข่ายสถานศึกษาในกรุงเทพมหานคร จัดกิจกรรมขับเคลื่อนนโยบายวิถีชีวิตปกติกับถุงยางอนามัย “พก ซื้อ ใช้”

เกือบครึ่งของผู้ติดเชื้อเอชไอวีเป็นเยาวชน
ดร.ชาติวุฒิ วังวล ผู้อำนวยการสำนักสนับสนุนการควบคุมปัจจัยเสี่ยงทางสุขภาพ สสส. กล่าวว่า ข้อมูลจากกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข ระบุว่า ปี พ.ศ. 2565 ประเทศไทย มีผู้อยู่ร่วมกับเอชไอวี 561,578 คน มีผู้เสียชีวิตเนื่องจากเอดส์ 10,972 คน มีผู้ติดเชื้อรายใหม่ 9,230 คน ซึ่งเกือบครึ่งหนึ่งของผู้ติดเชื้อรายใหม่ เป็นเยาวชนอายุ 15-24 ปี จำนวน 4,379 คน โดยการติดเชื้อรายใหม่ร้อยละ 96 เกิดจากการมีเพศสัมพันธ์ที่ไม่ป้องกัน และเมื่อพิจารณาสถานการณ์การเกิดโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ 5 โรคหลัก ซิฟิลิส หนองใน หนองในเทียม แผลริมอ่อน กามโรคต่อมน้ำเหลือง ช่วงปี 2560 – 2565 กลุ่มเยาวชนอายุ 15 – 24 ปี ยังเป็นกลุ่มที่มีอัตราป่วยมากและมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น โดยมีอัตราป่วย 99.6 ราย ต่อประชากรแสนคน ในปี 2560 เป็น 112.3 ราย ต่อประชากรแสนคน

“ที่ผ่านมา สสส. และภาคีเครือข่าย เร่งกระตุ้นสนับสนุนให้เยาวชนและคนรุ่นใหม่มีความเข้าใจและตระหนักถึงการมีเพศสัมพันธ์อย่างปลอดภัยและรับผิดชอบ โดยการใช้ถุงยางอนามัยทุกครั้ง ในโอกาสวันเอดส์โลก ประจำปี 2566 ซึ่งองค์การอนามัยโลกกำหนดให้วันที่ 1 ธันวาคมของทุกปีเป็นวันเอดส์โลก (World AIDS Day) เพื่อรณรงค์สร้างความตระหนักถึงความสำคัญของการป้องกันโรคเอดส์ ยอมรับและเข้าใจผู้ติดเชื้อเอชไอวี ปีนี้กำหนดแนวคิดการรณรงค์ คือ “Let Communities Lead” ที่เป็นการมุ่งเน้นการมีส่วนร่วมจากทุกภาคส่วน ไม่ว่าจะเป็นชุมชน รัฐ เอกชนและเครือข่ายต่าง ๆ โดยเฉพาะเยาวชนที่ต้องเป็นผู้นำการเปลี่ยนแปลงสร้างสุขภาวะ ” ดร.ชาติวุฒิ กล่าว

ผู้ติดเชื้อเอชไอวีรักษาได้ฟรีตามสิทธิ์สุขภาพ
นายสมวงศ์ อุไรวัฒนา ผู้อำนวยการมูลนิธิเข้าถึงเอดส์ กล่าวว่า ปัจจุบันสายด่วน 1663 เป็นผู้ให้บริการให้คำปรึกษากับเด็ก เยาวชน และประชาชนทั่วไป ซึ่งในปี 2565 พบข้อมูลสำคัญว่าเพศชาย ขอรับคำปรึกษาเกี่ยวกับโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์มากที่สุด โดยมีข้อแนะนำมายังคนรุ่นใหม่และผู้ปกครองด้วยว่า หากพบว่าตนเอง หรือบุตรหลานได้รับเชื้อเอชไอวี สิ่งที่ต้องรีบดำเนินการทันทีคือการเข้ากระบวนการรักษา ตามสิทธิ์รักษาพยาบาลของตนเอง เพื่อรับยาและรับประทานยาต่อเนื่องตามที่แพทย์กำหนด จะช่วยให้การรักษามีประสิทธิภาพ สามารถใช้ชีวิตตามปกติแบบคนทั่วไปได้ รวมถึงสามารถแต่งงานมีบุตรได้ โดยที่บุตรจะไม่ได้รับเชื้อจากบิดามารดา ข้อแนะนำสำคัญคือใส่ถุงยางอนามัยทุกครั้งเมื่อมีเพศสัมพันธ์ หรือรับประทานยาต้านก่อนการมีเพศสัมพันธ์ เพราะการป้องกันที่ดีมีค่ามากกว่าการรักษาหรือแก้ไขปัญหาที่จะเกิดขึ้นในอนาคต”

ชงรัฐลดราคาถุงยางยกเลิกเป็นสินค้าที่ต้องขออนุญาต
นายสุรเชษฐ์ โพธิ์แสง รองเลขาธิการสถาบันยุวทัศน์แห่งประเทศไทย กล่าวว่า จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ และเอชไอวี ในกลุ่มวัยรุ่นมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง จึงมีข้อเสนอเร่งด่วนต่อรัฐบาล 2 ข้อ
1.ขอให้กระทรวงพาณิชย์ พิจารณามาตรการปรับลดราคาถุงยางอนามัยที่จำหน่ายในประเทศ แม้ปัจจุบันกระทรวงสาธารณสุข และสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ จะให้บริการถุงยางอนามัยสำหรับประชาชนโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย แต่ยังมีข้อจำกัดในทางปฏิบัติ เช่น ความไม่สะดวกในการขอรับบริการผ่านแอพพลิเคชั่น ไม่รวดเร็วเท่าการไปร้านสะดวกซื้อ

2.ขอให้กระทรวงสาธารณสุข โดยสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) เปิดกว้างและลดการควบคุมการสื่อสารโฆษณาของถุงยางอนามัย เนื่องจากถุงยางอนามัยจัดเป็นเครื่องมือแพทย์ ตามประกาศกระทรวงสาธารณสุข เรื่อง ถุงยางอนามัย พ.ศ. 2556 ทำให้การโฆษณาต้องขออนุญาตและได้รับอนุญาต ซึ่งไม่เอื้อให้เกิดการสื่อสารที่สามารถสร้างแรงจูงใจใน โดยมี รศ.นพ.เชิดชัย ตันติศิรินทร์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงสาธารณสุข และ นายเอกฉัตร ศีตวรรัตน์ รองปลัดกระทรวงพาณิชย์ เป็นผู้แทนรับข้อเสนอจากรองเลขาธิการสถาบันยุวทัศน์ฯ..