เมื่อวันที่ 26 ม.ค. นายจตุพร พรหมพันธุ์ และนายนิติธร ล้ำเหลือ แกนพำคณะหลอมรวมประชาชน เฟซบุ๊กไลฟ์ประเทศไทยต้องมาก่อน ตอน “ความจริง…เป็นสิ่งไม่ตาย” โดยนายจตุพร กล่าวว่า ตลอด 30 ปี ไม่เคยอยู่ด้วยความปลอดภัย เพราะเป็นผลจากการเลือกต่อสู้กับผู้มีอำนาจ การพูดถึงความจริงเป็นสิ่งไม่ตายเพื่อสะท้อนปัญหาต่างๆ ของบ้านเมือง และที่ผ่านมาได้วิพากษ์วิจารณ์ทุกฝ่าย ที่หนักที่สุด คือวิจารณ์อำนาจ 3 ป. อันจะนำพาภัยวิกฤติมาสู่ประเทศในอนาคตอีกทั้ง ประเมินสถานการณ์ว่า ประเทศจะเดินไปถึงเลือกตั้งหรือไม่ เนื่องจาก นายทักษิณ ชินวัตร ประกาศกลับบ้านโดยไม่ใช้กฎหมาย จึงเป็นการปลุกความคิดให้นำไปสู่การล้มกระดานได้อย่างง่ายดายอีกรอบหนึ่ง
“ก่อนหน้านี้ผมบอกว่าดีลที่ไม่สมควรจะดีล และไม่มีใครยอมรับได้นั้น ถ้าทักษิณจะกลับบ้าน ก่อนมี พ.ร.ฎ.เลือกตั้งก็กลับมา สังคมจะได้ตั้งหลัก หากกลับบ้านช่วงเข้าโหมดมีเลือกตั้งแล้ว จะไม่ได้เลือกตั้ง หรือเลือกตั้งเสร็จ ผลการเลือกตั้งก็ไม่ได้ใช้ เพราะจะพังในสถานการณ์อื่นๆ” นายจตุพร กล่าว
วิกฤติเผด็จการทรราช 6 ตุลา 2519
นายจตุพร กล่าวว่า การไปผูกติดความรักของประชาชน คนยากจนที่มีจำนวนมาก โดยมองเพียงมุมนโยบายที่สำเร็จ แต่ไม่รับรู้ในคดีเกี่ยวข้องทุจริตของทักษิณ ดังนั้นอารมณ์สองทางนี้จะเป็นแรงกระแทกของสังคม วันนี้เราเห็นสัญญาณว่าวิกฤติจะเกิดขึ้น นายทักษิณ มีกลยุทธ์พูดถึงการกลับบ้าน โดยไม่รับผิดชอบเหมือนเดิม จะกลับบ้านก็กลับได้ทุกเวลาแบบสง่างาม คือเดินเข้าเรือนจำทุกคนยกย่อง หรือถ้ากลับมาเพื่อให้เกิดวิกฤติแบบเผด็จการทรราชในอดีตจนเป็นชนวนเหตุการณ์ 6 ตุลา 2519
นายจตุพร กล่าวว่า การพูดในสิ่งที่อธิบายมาไม่ได้พูดเท็จ เพราะถ้าไม่จริงย่อมถูกสวนได้ แต่สิ่งที่พูดคือ ความจริงและเป็นความเจ็บปวดทั้งหลาย ตลอดเวลาเส้นทางการต่อสู้ ตนมักพูดเสมอว่า ถ้าคิดเรื่องตัวเอง เมื่อนายทักษิณผิดคำพูด ก็ต้องไปแล้วตั้งหลายปี แต่ต้องทนอยู่เพราะไม่ได้สู้เพื่อตัวเอง แต่สู้เพื่อขบวนการต่อสู้ที่แลกกับชีวิต ความเจ็บปวด และความตายทั้งปวง ดังนั้นเมื่อยึดอำนาจแล้วจะมาต่อสู้อีกทำไม ต้องติดคุกต่อทำไม ยิ่งฝ่ายทักษิณกำลังมีอำนาจ เมื่อถูกถากถางก็ต้องน้อมรับ ถ้าคิดจะเอาประโยชน์จากทักษิณ แต่ไม่ใช่คนอย่างตน
“สิ่งสำคัญช่วง 8 ปีที่ผ่านมา ได้มองเห็นว่าภัยกำลังจะมา มีเชื้อไฟอย่างดีมาจากทักษิณ ที่ประกาศกลับบ้านที่ไม่ใช้กฎหมาย ไม่ใช้พรรคเพื่อไทย ไม่เกี๊ยะเซียะพลังประชารัฐ จึงคิดเป็นอื่นไม่ได้เลย ถ้าท่านเป็นคนทั่วไป ต้องไม่หนีคดี ต้องยืนหยัดเดินเข้าเรือนจำอย่างสง่างาม แต่ตลอดเวลาท่านไม่ได้เลือกใช้ความสง่างามข้อนี้” นายจตุพร กล่าวและย้ำว่า “การกลับบ้านทุกครั้งจะเสียหายทุกครั้งตอน พ.ร.บ.สุดซอย ก็เสียหายมา ถึงวันนี้เกือบ 8 ปี และที่กำลังจะเกิดขึ้นจะเสียหายอีกกี่ปี” นายจตุพร กล่าว
แนวร่วมมุมกลับ-ชุบชีวิตประยุทธ์
นายจตุพร กล่าวต่อว่า ฉะนั้น อะไรก็ตามที่ท่านคิดว่าคนไม่รู้ แต่ผมรู้ พยายามส่งสัญญาณเตือนกันเบาๆ มาตลอดว่า ที่ไปดีลอย่าทำ เพราะกาลเทศะไม่สมควร และภายใต้นายทักษิณ กลับมาด้วยเงื่อนไขไม่ใช้กฎหมาย ไม่เข้าเรือนจำ จะเกิดความโกลาหล มันจะพินาศย่อยยับถ้าไม่สงสารตัวเอง ก็ให้สงสารประเทศชาติบ้าง สงสารประชาชนที่ลำบากบ้าง ถ้าจะกลับบ้านก็กลับมาในวันนี้ ซึ่งยังไม่มีสถานการณ์ใด เมื่อมาแล้วก็เข้าเรือนจำเลย แต่อย่ากลับมาในสถานการณ์พิเศษ เพราะผลเลือกตั้งไม่ได้ทำให้ท่านกลับบ้านได้ โดยเลือกตั้งปี 54 ย่อมอธิบายได้ชัดเจน เนื่องจากตั้งรัฐบาลใหม่ยังไม่กล้านิรโทษกรรม ที่สำคัญไม่ได้ใช้ความกล้าที่สุดของมนุษย์ที่พึ่งมี
“ครั้งนี้ การพูดเช่นนี้จะเริ่มต้นปลุกวิกฤติขึ้นมา แล้วยังชุบชีวิต พล.อ.ประยุทธ์ ที่กำลังมึนอยู่ก็ฟื้นขึ้นมา เหมือนฉลามได้กลิ่นเลือด เมื่อทักษิณประกาศกลับบ้านโดยไม่ใช้กฎหมาย ไม่ใช้พรรคเพื่อไทย ไม่สมยอมกับพลังประชารัฐ หรือยังพูดไม่ชัดว่า ไม่เกี่ยวข้องกับการจัดตั้งรัฐบาล เท่ากับเปิดทางสว่างให้ พล.อ.ประยุทธ์ ดังนั้นทักษิณจึงกลายเป็นแนวร่วมมุมกลับในการชุบชีวิต พล.อ.ประยุทธ์” นายจตุพร กล่าว
“ทักษิณ” ต้องยอมรับความจริง
ด้านนายนิติธร กล่าวว่า การยอมรับความจริงและอยู่กับความจริง จึงจะเปลี่ยนแปลงให้เกิดสิ่งที่ดีตามมาได้ ไม่เช่นนั้นก็จะย่ำอยู่กับที่และถอยหลังลงไปเรื่อยๆ คนที่เสียหายก็คือประชาชน และกระทบประเทศไม่มีความมั่นคง นายทักษิณพูดตอบโต้นายจตุพรนั้น ไม่ได้ใช้ปัญญา แต่เป็นสัญชาตญาณของสัตว์ป่าในการตอบโต้ ใช้การเหน็บแนม แล้วเอาเท็จบวกเท็จๆ ไปสร้างข้อเท็จจริงใหม่ จึงเป็นพฤติกรรมของคนไม่เอาความจริง วิธีการพูดก็แสดงให้เห็นถึงความเป็นทุกข์ตลอดเวลา ดังนั้น เบื้องแรกทำให้เป็นสุขของนายทักษิณ ต้องยอมรับความจริงก่อน ถ้าไม่ยอมรับความจริงในด้านโทษ ก็ต้องรับความจริงด้านทุกข์ของคุณ
นายนิติธร กล่าวว่า นายทักษิณพูดถึงการกลับบ้านนั้นมีความมุ่งหวังทางการเมืองเป็นหลัก การพูดว่า กลับมาไม่พึ่งกฎหมาย นั่นหมายความว่า คุณจะพึ่งประชาชน จึงต้องหลอกประชาชนผ่านขบวนการแลนด์สไลด์ และสื่อผ่าน น.ส.แพทองธาร ชินวัตร ซึ่งเป็นลูกสาว และมีฐานะเป็นหัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย แคนดิเดตนายกฯ ให้ส่งสัญญาณถึงประชาชน
“การไม่ใช้กฎหมาย จึงหมายความว่า คุณกำลังคิดเอาประชาชนเป็นเหยื่ออีกครั้งหนึ่ง เหมือนที่เคยทำมา ดังนั้น พี่น้องประชาชนจึงควรไปดูข้อมูลต่างๆ ที่นายทักษิณทำไว้กับประชาชนมาตรวจสอบความจริงกันดู ขณะที่พูดนั้น มักใช้คำว่า เราๆ ให้เป็นความรู้สึกร่วมกับประชาชน แต่เมื่อเป็นผลประโยชน์กับตัวเองจะใช้คำว่าผม ดังนั้นการไม่พึ่งกฎหมาย จึงเป็นปัญหาที่หนึ่งของสังคมไทย และไม่ได้หมายความว่าจะไม่ใช้เกมการเมืองที่หลอกประชาชน”
ดักคอใช้มวลชนบีบอภัยโทษ
นายนิติธร กล่าวว่า การบอกไม่ใช้พรรคเพื่อไทย ถ้าเพื่อไทยเกี่ยวข้องต้องถูกยุบ เพราะทำกิจกรรมนอกเหนือการเมือง ไปสนับสนุนนักโทษ การเพิกเฉยต่อพฤติกรรมของพรรคการเมืองที่ไปสนับสนุนคนทำผิดกฎหมาย ซึ่งควรพอได้หรือยัง
ส่วนการบอกว่าจะให้ น.ส.แพทองธาร เป็นคนประกาศนั้น นายนิติธร กล่าวว่า เป็นการให้ไปสัมพันธ์กับมวลชนเพื่อประเมินการตอบรับ แล้วนำมาเก็บเกี่ยวประโยชน์การกลับบ้าน อีกทั้งใช้ลูกส่งสัญญาณเป็นศูนย์กลางการนัดหมายการกลับบ้าน จึงแสดงว่านายทักษิณพูดความจริงไม่ครบ และพยายามทำพฤติกรรมให้เชื่อมโยงว่าประชาชนมาเลือกพรรคเพื่อไทยเท่ากับเลือกให้คุณกลับบ้านไปด้วย อีกแบบหนึ่ง เอามวลชนมาบีบให้อภัยโทษ ซึ่งไปไกลกว่าการนิรโทษกรรม เท่ากับเป็นการกดดันสถาบันฯ โดยอ้างตัวเลขเลือกตั้งเข้ามา อ้างความประสงค์ของประชาชน จึงเป็นการท้าทาย เพื่อสนองตอบประโยชน์ของคุณโดยตรง ดังนั้น คุณจะกลับบ้านหรือต้องการล้มสถาบันฯ
“ทักษิณบอกว่ากลับบ้านด้วยใจล้วนๆ แต่ที่ผ่านมา คุณปอดแหกมาตลอด หนีจากผู้มีพระคุณคนยากไร้ หลอกเขามา และใจไม่ถึงจะเดินเข้ามา แล้วจะคุมสถานการณ์ได้หรือไม่ จะเดิมพันหรือไม่ว่าครอบครัวจะอยู่ได้ ถ้าเดินเกมนี้ คนจะรับผิดชอบคือ ครอบครัวคุณ วันนั้นอย่าถามว่า ครอบครัวหายไปไหน ไปเรียนรู้ด้วยตัวเอง” นายนิติธร กล่าว.
ขอบคุณรูปจากเฟซบุ๊ก “Jatuporn Prompan-จตุพร พรหมพันธุ์”