รายงานข่าวจากศูนย์วิจัยกสิกรไทย เปิดเผยว่า จากมาตรการกึ่งล็อกดาวน์ที่ให้หยุดงานก่อสร้างอย่างน้อย 30 วัน ใน 6 จังหวัด ได้แก่ กรุงเทพฯ นครปฐม นนทบุรี ปทุมธานี สมุทรปราการ สมุทรสาคร รวมถึงการขายอาหารหรือเครื่องดื่มที่ให้เปิดเฉพาะนำกลับไปทานที่อื่น โดยให้เริ่มตั้งแต่ 28 มิ.ย.64 ตามมาด้วยการออกมาตรการเยียวยาผลกระทบต่อลูกจ้างและนายจ้างทั้งในและนอกระบบประกันสังคม คาดผลกระทบมูลค่าธุรกิจก่อสร้างและยอดขายร้านอาหารและเครื่องดื่มเป็นเวลา 1 เดือน เสียหายไม่ต่ำกว่า 40,000 ล้านบาท หรือ 0.25% ของจีดีพี โดยมาตรการเยียวยาของภาครัฐมีส่วนช่วยบรรเทาผลกระทบในระดับหนึ่งเท่านั้น

นอกจากนี้ประเมินความช่วยเหลือลูกจ้างและนายจ้างทั้งในและนอกระบบประกันสังคมเน้นไปที่กลุ่มแรงงานและธุรกิจที่เป็นปลายทางของงานก่อสร้างและบริการร้านอาหารและเครื่องดื่มเป็นหลัก แต่ยังคงมีกลุ่มอื่นๆ ที่เกี่ยวเนื่องที่ได้รับผลกระทบตามมาจากการหยุดกิจกรรม 1 เดือนนี้ จะไม่ได้รับเงินที่เดิมควรจะได้รับหรือมีปัญหาสภาพคล่องได้เช่นกัน เช่น ผู้ค้าส่งค้าปลีกวัสดุก่อสร้าง ผู้ค้าส่งค้าปลีกวัตถุดิบอาหาร ผู้ให้เช่าพื้นที่เปิดกิจการร้านอาหาร ผู้ให้บริการด้านการขนส่ง เป็นต้น

ส่วนธุรกิจก่อสร้างยังมีประเด็นเฉพาะด้านกฎหมายเกี่ยวกับการส่งมอบงาน ซึ่งหากล่าช้า จะมีบทลงโทษเป็นค่าปรับ ถูกขึ้น แบล็กลิสต์ หรือถึงขั้นถูกดำเนินคดีฟ้องร้อง หมายความว่า ผลกระทบที่มีต่อธุรกิจจะมากกว่าเพียงมูลค่างานที่หายไปเท่านั้น โดยสถานการณ์ข้างหน้ายังเต็มไปด้วยความไม่แน่นอนสูง หากเหตุการณ์คลี่คลายลง โดยจำนวนผู้ติดเชื้อรายวันปรับตัวลดลงในช่วง 1 เดือนข้างหน้า ผลกระทบคงเป็นเพียงภาวะชั่วคราว แต่ถ้าเหตุการณ์ลากยาวออกไปหรือจำนวนผู้ติดเชื้อรายวันไม่ลดลงตามที่คาด ก็มีความเสี่ยงที่มูลค่าความเสียหายจะมากขึ้นและครอบคลุมผู้ได้รับผลกระทบเป็นวงกว้างมากขึ้น

“มาตรการกึ่งล็อกดาวน์ เป็นความพยายามของภาครัฐที่ออกมาเพื่อจะควบคุมและป้องกันการแพร่ระบาดของโควิด-19 ท่ามกลางความกังวลต่อจำนวนผู้ติดเชื้อรายวันที่ไม่ลดลงและอาจมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ขณะที่ มาตรการบรรเทาผลกระทบต่อลูกจ้างและนายจ้าง ก็สะท้อนถึงเจตนาที่ภาครัฐต้องการให้ภาคส่วนที่เกี่ยวข้องได้รับการชดเชยความเสียหายที่เกิดขึ้นผ่านการออกแบบแนวทางให้ครอบคลุมมากที่สุดเท่าที่จะพอทำได้ ณ ขณะนี้”

อย่างไรก็ตามเชื่อว่า ภาครัฐคงจะติดตามและประเมินสถานการณ์เพื่อพิจารณาออกมาตรการเพิ่มเติมอีกหากมีความจำเป็น โดยการออกแบบมาตรการเพื่อบรรเทาผลกระทบให้ครอบคลุมตลอดซัพพลายเชนของธุรกิจต่างๆ ที่ประสบปัญหาด้านสภาพคล่อง อาจเป็นแนวทางหนึ่ง แต่ก็จำเป็นที่จะต้องมีข้อมูลที่ตรวจสอบได้ว่ากลุ่มเหล่านั้นได้รับผลกระทบจริงๆ ซึ่งในทางปฏิบัติคงไม่ง่าย ทั้งนี้ ที่พอจะดำเนินการได้บางส่วน อาจอาศัยความร่วมมือจากสถาบันการเงินในการยืนยันว่าลูกค้าเป็นธุรกิจเกี่ยวเนื่องหรือซัพพลายเออร์ของธุรกิจนั้นๆ อย่างแท้จริง เป็นต้น นอกจากนั้น ก็คงจะเป็นเรื่องการให้ความช่วยเหลือในประเด็นเฉพาะทางเทคนิคหรือกฎระเบียบต่างๆ ที่เกี่ยวข้องอย่างรอบด้าน