เมื่อวันที่ 20 พ.ค. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายณรงค์ พิบูลย์ อายุ 46 ปี นักธุรกิจพลังงานรายใหญ่ในนครศรีธรรมราช เจ้าของ บริษัทวิมลชัย ปิโตรเลียม จำกัด” เจ้าของปั้มน้ำมัน “วิมลชัยปริโตเลียม” ตั้งอยู่เลขที่ 20/21 หมู่ 1 ถนนสายเอเซีย 41 ต.ทุ่งโพธิ์ อ.จุฬาภรณ์ จ.นครศรีธรรมราช เข้าแจ้งความกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ภาพสวัสดิ์ พนักงานสอบสวน สภ.จุฬาภรณ์ จ.นครศรีธรรมราช ดำเนินคดีกับ กลุ่มชายฉกรรจ์รวม 11 คน อ้างว่า เป็นตำรวจ ศปทส.ตร. และเจ้าหน้าที่สรรพสามิตพื้นที่นครศรีธรรมราช เขต อ.ทุ่งสง จ.นครศรีธรรมราช ในข้อหาปฏิบัติหน้าที่หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ
โดยเจ้าหน้าที่ได้เข้ามาจับกุมในยามวิกาล ไม่มีหมายค้น ไม่มีหมายจับ อ้างพบน้ำมันเถื่อนในรถบรรทุก 2 คัน รวม 31,000 ลิตร ก่อนควบคุมตัวนายสมพร ตรีเภรี พนักงานขับรถบรรทุกน้ำมันของบริษัทฯ ไปสอบสวนที่สำนักงานสรรพสามิตนครศรีธรรมราช สาขาทุ่งสง แล้วเปรียบเทียบปรับโดยมิชอบเป็นเงิน 314,760 บาท ซึ่งเป็นการปฏิบัติหน้าที่หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ตามกฎหมายมาตรา 157 เหตุเกิดระหว่างช่วงเวลา 00.00-10.30 น. วันที่ 3 พ.ค. ที่ผ่านมา
ต่อมา นายณรงค์ ได้มอบหลักฐานคลิปและภาพถ่ายในคืนเกิดเหตุ พร้อมสลิปการโอนเงินเข้าบัญชีธนาคารกรุงไทย ชื่อบัญชีสำนักงานสรรพสามิตนครศรีธรรมราช เขต อ.ทุ่งสง จ.นครศรีธรรมราช รวม 314,760 บาท ใบเสร็จรับเงินของสำนักงานสรรพสามิตฯ 2 ใบ แยกเป็นค่าโอนเงินค่าปรับในคดีของสรรพสามิต 258,000 บาท และค่าภาษีน้ำมัน (โอนเงินเข้าอีเล็กทรอนิกส์) 56,760 บาท ให้กับ พนักงานสอบสวนเป็นหลักฐานและสื่อมวลชน โดยคลิปหลักฐานมีความยาว 1.29.26 นาที มีการพูดคุยกันระหว่างเจ้าหน้าที่และนายสมพร คนขับรถบรรทุกน้ำมัน และคนที่เกี่ยวข้องในปั๊มอีก 1-2 คน โดยนายสมพร พยายามถามถึงหมายค้น หมายจับ แต่เจ้าหน้าที่ไม่ตอบ อ้างขอตรวจสอบว่าเป็นน้ำมันเถื่อนหรือถูกต้องตามกฎหมาย จึงยอมไปกับเจ้าหน้าที่ แต่พฤติกรรมเจ้าหน้าที่กลับไม่ใช่แบบที่พูดหรือตกลงกัน
จากการตรวจสอบบันทึกการจับกุมเจ้าหน้าที่ไม่ได้ระบุว่าน้ำมันของกลางที่จับกุมและเปรียบเทียบปรับมีจำนวนกี่ลิตร ระบุว่าอยู่ในรถบรรทุกหมายเลขทะเบียน 70-4843 นครศรีธรรมราช แต่ในบันทึกแจ้งความที่นายณรงค์ กลับระบุว่า เจ้าหน้าที่ตรวจพบรถบรรทุกน้ำมัน 2 คัน รวมน้ำมัน 31,000 ลิตร เมื่อเจ้าหน้าที่ทำการเปรียบเทียบปรับฐานความผิดมีไว้ในครอบครองซึ่งสินค้ามิได้เสียภาษี กลับระบุจำนวนแค่ 15,000 ลิตร เปรียบเทียบปรับไปเป็นเงิน 314,760 บาท ส่วนน้ำมันในรถบรรทุกอีกคัน 16,000 ลิตร กลับไม่มีการเปรียบเทียบปรับแต่อย่างใด
จากการสอบปากคำ นายสมพร คนขับรถบรรทุกน้ำมันที่ถูกปรับ ยังยืนยันว่าคืนเกิดเหตุนอกจากเจ้าหน้าที่ไม่ยอมตรวจสอบคุณภาพน้ำมันตามที่ร้องขอตามหลักการปฏิบัติตามขั้นตอนก่อนแจ้งข้อกล่าวหาและเปรียบเทียบปรับตามลำดับนั้น เจ้าหน้าที่ยังไม่ได้ยึดรถบรรทุกน้ำมันของกลางทั้ง 2 คันไปด้วย โดยให้จอดไว้ภายในปั๊มน้ำมันตามปกติ หากระหว่างที่เจ้าหน้าที่ควบคุมตัวไปลงบันทึกประจำวันเป็นหลักฐานที่โรงพักและควบคุมตัวไปยังสำนักงานสรรพสามิตนครศรีธรรมราช เขต อ.ทุ่งสง กว่าจะเสร็จสิ้นกระบวนการทั้งหมดตั้งแต่ 00.00-10.30 น. รวมใช้เวลากว่า 10 ชม. ระหว่างนั้นหากเป็นน้ำมันเถื่อนทางปั๊มสามารถถ่ายน้ำมันทั้งหมดออกจากรถทั้ง 2 คันได้จะสามารถปฏิเสธว่าไม่ได้ครอบครองน้ำมันตามจำนวนที่เจ้าหน้าที่กล่าวหาแต่อย่างใด ถึงตอนนั้นเจ้าหน้าที่จะหาพยานหลักฐานจากที่ไหนมายืนยันการกระทำผิดของผู้ต้องหา
“คดีนี้ทำให้คนทั่วไปที่ติดตามข่าวสงสัยว่าเจ้าหน้าที่มีเบื้องหน้าเบื้องหลังหรือไม่ และปฏิบัติตามระเบียบขั้นตอนของทางราชการหรือ ทำไมไม่ตรวจสอบคุณภาพน้ำมันตั้งแต่แรกว่าน้ำมันในรถบรรทุกทั้ง 2 คัน เป็นน้ำมันเถื่อนหรือไม่ หากพบว่าเป็นน้ำมันเถื่อนก็แจ้งข้อกล่าวหา และบันทึกการจับกุมก่อนควบคุมตัวผู้ต้องหาพร้อมของกลางส่งพนักงานสอบสวน และในกรณีที่ผู้ต้องหาจะจ่ายค่าปรับเจ้าหน้าที่จะต้องเปรียบเทียบปรับน้ำมันเถื่อนทั้ง 31,000 ลิตร ไม่ใช่ปรับแค่ 15,000 ลิตร ส่วนอีก 16,000 ลิตรหายไป ซึ่งทำให้รัฐสูญเสียประโยชน์โดยมิชอบใช่หรือไม่”