เมื่อวันที่ 20 ต.ค. 67 ผู้สื่อข่าวลงพื้นที่สำรวจสะพานบ้านนาทุ่งเชือก พื้นที่ ต.ห้วยแห้ง อ.​บ้านไร่ จ.​อุทัยธานี​ ซึ่งเป็นสะพานหลักที่ใช้สัญจรระหว่างหมู่บ้านในตำบล รวม 9 หมู่บ้าน หลังสะพานดังกล่าวถูกมวลน้ำป่าซัดขาดจนทำให้ชาวบ้านหลายหมู่บ้านถูกตัดขาด เข้าออกหมู่บ้านไม่ได้ หลังเกิดเหตุน้ำป่าบ้านไร่ พัดถล่มเมื่อกลางดึกที่ผ่านมา (19 ต.ค.)

หนักสุดรอบ50ปี ! ‘ชาดา’ ย้ำประกาศเขตภัยพิบัติ พิษน้ำป่าทะลักท่วมอุทัยธานี

ล่าสุดทาง นายญวน ปานาง นายก อบต.ห้วยแห้ง พร้อมด้วย นายสุภาพ ธรรมลิยา ผู้ใหญ่บ้าน​หมู่ 3 ต.ห้วยแห้ง ลงพื้นที่สำรวจความเสียหาย เพื่อให้ความช่วยเหลือชาวบ้านในพื้นที่อย่างเร่งด่วน โดยพบว่า นอกจากสะพานข้ามหมู่บ้านที่ขาดแล้วนั้น ยังมีบ้านเรือนของชาวบ้านที่อยู่ติดริมฝั่งลำห้วยกระเสียว เสี่ยงที่จะพังถล่มลงมา เนื่องจากน้ำที่กัดเซาะ​ตลิ่งไปจนเกือบถึงตัวบ้านแล้ว ตลอดจนพื้นที่การเกษตรและการประมง​ในพื้นที่ต่างได้รับความเสียหายด้วยเช่นกัน ซึ่งหนึ่งในชาวบ้านในพื้นที่ เปิดเผยว่า ตั้งแต่จำความได้จนอายุ 63 ปี ถือเป็นน้ำป่าครั้งแรกที่สร้างความเสียหายได้หนักขนาดนี้ อีกด้วย

นายญวน เผย​ว่า เมื่อวานนี้ได้รับแจ้งจากพื้นที่ว่า เวลาประมาณ 16.00 น. เกิดฝนตกหนักในพื้นที่นานกว่า 2-3 ชั่วโมง ส่งผลให้น้ำป่าจากเทือกเขาห้วยขาแข้ง ไหลหลากเข้าท่วมพื้นที่บ้านเรือนประชาชนในหลายหมู่บ้าน โดยเฉพาะหมู่ 4, 7, 8 และ 9 ซึ่งตอนนี้ สะพานบ้านนาทุ่งเชือกของพื้นที่ หมู่ 4 ได้รับความเสียหายจากเศษไม้และขยะที่ไหลมาติดที่คอสะพาน จนทำให้สะพานขาด ทำให้ชาวบ้านไม่สามารถสัญจรไปมาได้ ต้องอ้อมเป็นระยะทางไกลกว่า 10 กิโลเมตร ขณะนี้ทางผู้ใหญ่บ้านได้ประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อาทิ ปภ. และ อบจ.อุทัยธานี เพื่อเร่งเข้ามาช่วยเหลือและนำเครื่องจักรมาเคลียร์เศษขยะออกจากสะพานโดยเร็วที่สุดแล้ว

นายสุภาพ เปิดเผยว่า หากภายในวันนี้ยังไม่ได้สะพานชั่วคราว​จากทางภาครัฐ ก็จะต้องทำสะพานไม้เพื่อสัญจรไปมาชั่วคราว​กันไปก่อน เพราะถ้าฝนตกหนักขึ้นมาอีกก็จะหนัก และนอกจากนี้ยังมีบ่อปลาที่ติดกับทางห้วยได้รับความเสียหายหมด เพราะมาแบบไม่ได้ทันตั้งตัว ตอนนี้เดือดร้อน พืชเกษตรอย่างมันสำปะหลังตอนนี้ก็เน่าเสีย 100% เรียกได้ว่าตอนนี้ในพื้นที่ถือว่าหนัก เพราะเป็นครั้งแรกที่บ้านไร่มีน้ำป่าท่วมหนักขนาดนี้ เหตุเกิดขึ้นในคืนเดียว แค่ 3-4 ชั่วโมง​ เราวัดได้ประมาณ 130 มิลลิเมตร ลำห้วยเลยรับน้ำไม่ไหว ตอนนี้เราไม่มีสัญญาณเตือนภัย จะมีแค่การประสานงานจากกลุ่มไลน์อำเภอ คนที่อยู่ต้นน้ำก็ช่วยกันเฝ้าระวังเตือนภัย แต่สุดท้ายก็เอาไม่ทัน เพราะน้ำมาไวมาก