เมื่อวันที่ 7 เม.ย. นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร ผู้สมัครผู้ว่าฯ กทม. พรรคก้าวไกล หมายเลข 1 พร้อมด้วย น.ส.ฐาปนีย์ สุขสำราญ ผู้สมัคร ส.ก.เขตประเวศ พรรคก้าวไกล หมายเลข 6 เดินทางไปยังหมู่บ้านอิมพีเรียลพาร์ค ถนนเฉลิมพระเกียรติ ซอย 67 พื้นที่ได้รับผลกระทบจากการสร้างโรงไฟฟ้ากำจัดขยะของบริษัทเอกชนแห่งหนึ่ง โดยเฉพาะเรื่องมลพิษทางกลิ่นที่เหม็นรบกวนความเป็นอยู่ของประชาชนอย่างรุนแรง และกระจายไปไกลในรัศมีกว่า 5 กม. มีหมู่บ้านได้รับผลกระทบกว่า 30 หมู่บ้าน ล่าสุด มีคำสั่งจากคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) ให้สั่งพักใบอนุญาตประกอบกิจการผลิตไฟฟ้าของ บริษัทดังกล่าว เนื่องจากบริษัทไม่ปฏิบัติตาม Code of Practice : CoP สำหรับการใช้ก๊าซชีวภาพเป็นเชื้อเพลิงในการผลิตไฟฟ้าให้ครบถ้วน โดยเฉพาะการจัดการเชื้อเพลิงขยะชุมชน จนส่งผลให้เกิดปัญหากลิ่นเน่าเหม็นต่อชุมชนที่อยู่ในพื้นที่ใกล้เคียง

นายวิโรจน์ กล่าวว่า แม้มีคำสั่งดังกล่าวออกมา แต่ไม่ได้หมายความว่า การดำเนินกิจกรรมในโรงไฟฟ้าขยะแห่งนี้จะยุติลง ในทางกลับกัน อาจเอื้อให้โรงไฟฟ้าขยะกลายเป็นที่พักขยะ เพื่อส่งต่อไปฝังกลบในบ่อขยะในพื้นที่อื่น รวมถึงบ่อใหญ่ในจังหวัดข้างเคียง หมายความว่า กทม.อาจต้องเสียค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นอีก 800 บาทต่อตัน และหากการกำจัดขยะโดยเปลี่ยนเป็นพลังงานทำไม่สำเร็จตามเป้าหมายที่ต้องการลดการฝังกลบ จากเดิมร้อยละ 80 ให้เหลือร้อยละ 30 ปัญหาขยะแบบเดิมๆ ก็จะยังอยู่กับ กทม.ต่อไป

“หลายคนมองว่า ผมแอนตี้โรงไฟฟ้าขยะ ความจริงไม่ใช่เลย พวกเรามองว่าเป็นแนวคิดที่ดีด้วยซ้ำในการเปลี่ยนขยะให้กลายเป็นพลังงานด้วยเทคโนโลยีชั้นสูง เพราะไม่ว่าสวีเดน โกเบ โอซากา โรงไฟฟ้าขยะไปตั้งที่ไหนเขาก็ยิ่งยินดี เพราะหมายถึงเขาจะได้อากาศที่กรองสะอาดขึ้น มีน้ำที่สะอาดขึ้น อย่างในญี่ปุ่นกรองเสียจนน้ำสะอาดเกินไป ทำให้ปลาไม่แข็งแรง เจอเชื้อโรคจะตายง่าย เลยต้องเติมสารเคมีเพิ่มลงไปด้วยซ้ำ โรงงานแบบนี้อยู่กับเมืองของเขามา 20-30 ปี ก็ไม่มีปัญหา แต่ของเรากลายเป็นว่าเอาโครงการที่ดีระดับโลกมาตายที่ กทม.ไปหมด บริษัทดังกล่าวซึ่งเป็นบริษัทของ กทม. แทนที่ทำแล้วจะกลายเป็นต้นแบบให้พื้นที่อื่น กลับทำลายความเชื่อใจของประชาชนในพื้นที่ เพราะเมื่อมีปัญหาตั้งแต่โครงการแรก โครงการที่สองที่สามก็ไม่สามารถเกิดขึ้นได้ ในที่สุดก็จะต้องใช้การฝังกลบต่อไปกลายเป็นปัญหาระยะยาว” นายวิโรจน์กล่าว

นายวิโรจน์ กล่าวต่อไปว่า ปัญหากลิ่นของโรงไฟฟ้าแห่งนี้ ไม่ได้เกิดจากปัญหาขยะมากถูกพักไว้แล้วเกิดกลิ่นเหม็น แต่กลิ่นที่รุนแรงขนาดนี้สันนิษฐานว่าน่าจะเกิดจากกระบวนการหมักของขยะ เพื่อเตรียมเปลี่ยนเป็นเชื้อเพลิงขยะ (Refuse Derived Fuel: RDF)  ซึ่งเดิมออกแบบไว้เป็นระบบปิด แต่จากการตรวจสอบของกรมโรงงานพบว่า ระบบบำบัดกลิ่นเสีย ทำให้เกิดกลิ่นที่รุนแรงจนต้องเปิดระบายออกมาสร้างปัญหาให้พื้นที่รอบข้างและนำไปสู่การร้องเรียนต่างๆ

นายวิโรจน์ กล่าวว่า  การทำให้เทคโนโลยีดีๆ กลายเป็นระบบที่ใช้การไม่ได้ อาจเกิดจากความจงใจเอื้อกลุ่มทุนธุรกิจบ่อขยะที่จะเสียประโยชน์ ไม่ว่าจะเป็นค่านำไปฝังกลบที่ กทม. ต้องจ่ายดังที่กล่าวไปข้างต้น หรือจากรายได้ที่คนเข้าไปคัดแยกเอาขยะต้องเสีย ซึ่งตรงนี้รู้กันว่าเป็นธุรกิจที่มีมาเฟียคุมมาอย่างยาวนาน เมื่อโรงไฟฟ้าขยะเหล่านี้ใช้งานไม่ได้ สุดท้ายจะเหลือสภาพเป็นเพียงจุดพักขยะเพื่อรอนำไปที่บ่อขยะรอการฝังกลบ สำหรับพื้นที่จุดพัก จากแค่ปัญหากลิ่นก็จะขยายต่อกลายเป็นปัญหาน้ำเพราะไม่เชื่อว่าจะมีการออกแบบไว้เพื่อรองรับขยะที่หมักหมม และน้ำเสียอาจซึมลงดินไปสู่แหล่งน้ำที่อยู่ใกล้ๆ ได้

ทั้งนี้นายวิโรจน์ ได้พูดคุยกับพนักงานที่ทำงานในโรงไฟฟ้าขยะโดยตรง เพื่อสอบถามถึงความคืบหน้าในการซ่อมระบบบำบัดกลิ่นที่เสีย และรูปแบบการดำเนินงานของโรงไฟฟ้าขยะ หลังมีคำสั่งจาก กกพ.สั่งพักใบอนุญาตประกอบกิจการผลิตไฟฟ้า ว่ายังมีการดำเนินการต่อไปหรือไม่ ซึ่งได้รับคำตอบว่า คำสั่งดังกล่าวเป็นเพียงการยุติการขายไฟฟ้าเท่านั้น แต่การดำเนินการหมักเพื่อแปลงขยะเป็น RDF ยังมีอยู่ โดยลดปริมาณลง อย่างไรก็ตาม การรับขยะเข้ามาวันละ 800 ตัน ยังคงดำเนินไปอย่างต่อเนื่องและยอมรับว่า หากกระบวนการเปลี่ยนขยะเป็นพลังงานหยุดชะงักก็เป็นไปได้ที่จะต้องนำไปสู่กระบวนการฝังกลบ ส่วนการซ่อมระบบบำบัดกลิ่นจะเสร็จสิ้นภายในเดือน เม.ย.นี้ ซึ่งทางวิโรจน์ ได้ขอว่า หากซ่อมเสร็จจริงขอให้รายงานไปทางคณะกรรมาธิการสภาผู้แทนราษฎรด้วย เพื่อจะขออนุญาตนำคณะกรรมาธิการฯ พร้อมด้วยทีมวิศวะสิ่งแวดล้อมลงมาตรวจสอบ ซึ่งทางบริษัทรับปากตามที่ขอ

นายวิโรจน์ กล่าวว่า  โรงไฟฟ้าขยะแห่งนี้ เกิดจากคำสั่ง คสช.ที่ 4/2559 ซึ่งละเว้นกระบวนการจัดทำรายงานผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม (EIA) และไม่มีกระบวนการรับฟังความคิดเห็นจากประชาชน ประชาชนในพื้นที่จึงยังมีข้อสงสัยว่า การจัดการที่ล่าช้าในเวลานี้ เป็นเพราะคณะกรรมการบริษัทแห่งนี้ มีนายทหารระดับสูงที่อาจรู้จักกับนายพลในรัฐบาลด้วยหรือไม่ รวมถึงมีข้อสงสัยเกี่ยวกับการเอื้อประโยชน์นายทุนธุรกิจบ่อกลบขยะในจังหวัดข้างเคียง จึงทำให้การแก้ไขปัญหาอะไรก็ตามที่ควรจะทำได้ง่ายกลับกลายเป็นยาก

จากนั้นนายวิโรจน์ พร้อมด้วย น.ส.เต็มสินี โสภาสมสวัสดิ์ ผู้สมัคร ส.ก.เขตห้วยขวาง หมายเลข 2 พรรคก้าวไกล ได้ลงพื้นที่ตลาดห้วยขวาง เพื่อพบปะพูดคุยกับพ่อค้าแม่ค้าและประชาชนที่มาจับจ่ายซื้อของ โดยนายวิโรจน์ กล่าวว่า หลายคนถามว่า หากได้เป็นผู้ว่าฯ จะแก้ปัญหาอะไรก่อน สิ่งที่จะต้องทำก่อนคือ การแก้ปัญหาที่ประชาชนฝากอำนาจไว้กับเราและเป็นปัญหาที่ประชาชนไม่สามารถแก้ไขด้วยตนเองได้ เช่น ปัญหาโรงไฟฟ้าขยะอ่อนนุชส่งกลิ่นเหม็น หรือการเปิดเผยสัญญาสัมปทานรถไฟฟ้าสายสีเขียว หรือการแก้ปัญหาไซต์ก่อสร้างต่างๆ ที่บดบังผิวจราจรหรือทางเท้าทำให้เกิดอุบัติเหตุบ่อย ปัญหาเหล่านี้จะต้องไปเคลียร์กับนายทุนผู้รับเหมา ซึ่งประชาชนแก้ไขเองไม่ได้ และหวังว่าผู้ว่าฯ ที่เขาฝากอำนาจให้จะมาแก้ตรงนี้ ตรงนี้คือจุดที่ตนชัดเจนที่สุด.