โครงการส่งเสริมรถยนต์ไฟฟ้า หรือ รถอีวี เป็นอีกส่วนหนึ่งของอุตสาหกรรมยานยนต์ที่ภาครัฐได้เดินหน้าส่งเสริมอย่างเป็นทางการ และได้ทำทุกวิถีทาง!! เพื่อให้รถอีวี “เกิด” ให้ได้ในประเทศไทย ล่าสุด…ได้ออกมาตรการส่งเสริมเพื่อให้ค่ายรถยนต์ และผู้บริโภคสามารถเข้าถึง และเป็นเจ้าของรถยนต์ไฟฟ้าได้ง่ายดายยิ่งขึ้น
จัดแพ็กเกจเสริมเร่งแจ้งเกิด
มาตรการที่อนุมัติ มีทั้งเงินอุดหนุนรถยนต์และรถกระบะคันละ 70,000-150,000 บาทต่อคัน และรถจักรยานยนต์ 18,000 บาทต่อคัน ลดภาษีสรรพสามิตรถยนต์จาก 8% เป็น 2% และรถกระบะเป็น 0%, ลดอากรขาเข้ารถยนต์ที่ผลิตต่างประเทศและนำเข้าทั้งคัน (ซีบียู) สูงสุด 40% ทำให้การนำเข้าจากญี่ปุ่น 20% เหลือ 0% เกาหลีจาก 40 เหลือ 0% จีน 0% อยู่แล้ว ขณะที่มาจากยุโรป-สหรัฐ จาก 80% เหลือ 40% เพราะยังไม่มีข้อตกลงการค้า และมีการยกเว้นอากรขาเข้ารถยนต์ที่ผลิตในประเทศ (ซีเคดี) จำนวน 9 รายการ
ทั้งนี้ค่ายรถที่เข้าร่วมต้องรับเงื่อนไข ได้แก่ ผลิตชดเชยให้เท่ากับจำนวนที่นำเข้าซีบียู ช่วงปี 65-66 ในปี 67 แต่ขยายเวลาได้ถึงปี 68 จะต้องผลิตในอัตราส่วน 1.5 เท่า คือ นำเข้า 1 คัน ผลิต 1.5 คันผู้ใช้สิทธิจะผลิตยานยนต์ไฟฟ้า รุ่นใดก็ได้เพื่อชดเชย ยกเว้นรถที่มีราคาขายปลีกราคา 2-7 ล้านบาท ต้องผลิตรุ่นเดียวกับที่นำเข้ามา เป็นต้น ขณะที่รถกระบะ ต้องผลิตในประเทศเท่านั้น จึงได้สิทธินี้รถยนต์และรถจักรยานยนต์นำเข้าได้ แต่ปีที่ 3 ต้องผลิตในประเทศตามเงื่อนไขดังกล่าว
ด้วยเหตุนี้…บรรดาผู้ประกอบการภาคเอกชน สามารถทำราคาให้ลดลงได้ ค่ายรถยนต์จะจัดรายการส่งเสริมการขายเพิ่มเติมเข้ามา
อีกทั้งช่วยให้ผู้ซื้อตัดสินใจได้ง่ายขึ้น เพราะราคาจูงใจและใกล้เคียงกับรถยนต์ที่ใช้น้ำมันเป็นเชื้อเพลิง และยังไม่นับรวมรถอีวีรุ่นใหม่ ๆ ที่จะยกทัพมาให้เลือกเพิ่มมากขึ้นในอนาคตอันใกล้ ซึ่งเป็นหลักการที่รัฐได้วางแนวทางเอาไว้
รัฐควักเงินช่วยกระตุ้น
เท่านั้นไม่พอ “สุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์” รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.พลังงาน กล่าวว่า รัฐบาลพร้อมอำนวยความสะดวกให้กับประชาชนที่ซื้อรถยนต์ไฟฟ้า หรืออีวี โดยจะช่วยทำมิเตอร์ไฟฟ้าแบบพิเศษ เพื่อช่วยให้สามารถชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าได้ที่บ้านโดยรัฐบาลได้เตรียมตั้งโต๊ะในส่วนที่จะช่วยทำได้ คือ การอำนวยความสะดวกเมื่อคนไทยซื้อยานยนต์ไฟฟ้า ก็จะติดตั้งบ็อกซ์ชาร์จให้ที่บ้าน มีการขอมิเตอร์พิเศษ โดยประสานกับการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค หรือ กฟภ. และการไฟฟ้านครหลวง หรือ กฟน. กฟภ. โดยจะทำให้เบ็ดเสร็จ เรียกว่า เมื่อซื้อรถยนต์อีวีแล้ว ก็ไม่ต้องเป็นกังวล
ขณะเดียวกัน “สุพัฒนพงษ์” ยังสำทับไว้ด้วยว่า นโยบายในการส่งเสริมรถยนต์อีวีของรัฐบาลนั้น ปัจจุบันได้มีการประกาศออกมาแล้ว ตามแผน 30/30 โดยตั้งเป้าหมายการผลิตให้ได้ 30% ของปริมาณการผลิตรถยนต์ในประเทศ ในปี 73 หรือในอีก 8 ปีข้างหน้า เพื่อให้ประเทศไทยรักษาการเป็นศูนย์กลางการผลิตรถยนต์ทุกประเภท ซึ่ง
ถ้าไม่เร่งทำตอนนี้อาจต้องสูญเสียทุกสิ่งทุกอย่างที่เป็นรากฐานทางเศรษฐกิจของไทยไปแน่นอน ล่าสุด…นโยบายด้านยานยนต์ไฟฟ้าของรัฐบาลที่ประกาศออกไป จะมีทั้งการส่งเสริม และอุดหนุนเพื่อให้เกิดการลงทุนในการประกอบรถยนต์อีวี 100% ในไทย เบื้องต้นได้รับเสียงตอบรับดี โดยรัฐบาลเชื่อมั่นว่า ในช่วง 3 ปีต่อจากนี้ จะมีการผลิต และประกอบรถยนต์อีวีขึ้นในไทยแน่นอน
![](https://t.dailynews.co.th/wp-content/uploads/2022/03/01-14-1024x1024.jpg)
จรดปากกาเซ็นเอ็มโอยู
ขณะเดียวกันเพื่อสร้างความมั่นใจในมาตรการส่งเสริมรถอีวีรัฐได้เกี่ยวก้อยค่ายรถ ทั้งเอ็มจีและเกรทวอลล์ มอเตอร์ มาเซ็นสัญญาร่วมกันว่ารถยนต์ไฟฟ้า จะสามารถเกิดและเติบโตได้ ด้วยแรงส่งของภาครัฐ และเอกชนที่ร่วมมือกัน และเร็ว ๆ นี้ได้โอกาส ผสมกับ
มีจังหวะที่ดีที่จะสร้างฝันให้เป็นจริงได้ ในงานมอเตอร์โชว์ 2022 เพราะภายในงานจะมีรถยนต์ไฟฟ้าของทั้ง 2 ค่ายที่มีสัญญากับรัฐ นำรถมาให้จับจอง และได้รับราคาที่มีส่วนลด จากการที่รัฐให้การสนับสนุน เกือบ ๆ สองแสนบาทกันทีเดียว สำหรับรถอีวีราคาไม่เกิน 2 ล้านบาท ตรงนี้ถือว่าช่วยให้การตัดสินใจซื้อทำได้ง่ายมากขึ้น!!
ภาคเอกชน “พงษ์ศักดิ์ เลิศฤดีวัฒนวงศ์” รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท เอ็มจี เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด มองว่า ในปีนี้จะส่งรถยนต์ไฟฟ้ารุ่นใหม่ออกสู่ตลาดอีก 3 รุ่น รุ่นแรก เตรียมเปิดตัวอย่างเป็นทางการในงานมอเตอร์โชว์ และตามมาด้วยเอ็มจี อีพี ไมเนอร์
เชนจ์ และรถยนต์ไฟฟ้ารุ่นใหม่ที่ยังไม่เคยนำเข้ามาทำตลาดในประเทศไทยอีก 1 รุ่น โดยปีที่ผ่านมาเอ็มจี ส่งมอบรถอีวีไม่น้อยกว่า 1,000 คัน ในฐานะที่เป็นค่ายรถยนต์รายแรก ๆ ที่มุ่งทำตลาดรถอีวีอย่างจริงจัง และต่อเนื่อง ซึ่งการร่วมมือกับภาครัฐ ถือว่าเป็นการแสดงความจริงใจ ที่จะมุ่งมั่นเดินหน้าส่งเสริมรถอีวีในประเทศไทยต่อไป
ด้านผู้จัดงานมอเตอร์โชว์ “ปราจิน เอี่ยมลำเนา” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท กรังด์ปรีซ์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) และประธานจัดงานบางกอก อินเตอร์เนชั่นแนล มอเตอร์โชว์ ครั้งที่ 43 ระบุว่า งานมอเตอร์โชว์ปีนี้จะเป็นเวทีเดือดสำหรับรถยนต์ไฟฟ้า และเป็นประวัติศาสตร์ครั้งแรกที่รัฐบาลอนุมัติเงินอุดหนุนแพ็กเกจอีวี จำนวน 1.5 แสนบาทต่อคัน ภายในงานจะมีรถอีวี เข้ามาร่วมงานไม่น้อยกว่า 20 รุ่น
เชื่อราคาจับต้องได้แน่
ไม่เพียงเท่านี้ “ปราจิน” ยังมองว่า การที่รัฐให้เอกชนมาลงนามสัญญาร่วมกันก็เพื่อต้องการให้เงินที่อุดหนุนนั้น ลงไปถึงผู้บริโภคอย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย ถือเป็นผลดีต่อค่ายรถที่สามารถขายได้ง่ายขึ้น แต่สิ่งที่เกิดในอนาคต เงื่อนไขที่ต้องผลิตรถยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทยตรงนี้ยังมีข้อกังวล ว่าในอนาคตจะสามารถทำยอดขายได้กี่คัน การผลิตจำนวนเท่าใด จึงคุ้มค่าทางธุรกิจ ในอนาคตอีก 2-3 ปี อาจมีคำตอบหรือเงื่อนไขมีการเปลี่ยนแปลงรายละเอียดก็เป็นได้ ซึ่งต้องให้สามารถนับรวมได้ ทั้งการผลิตเพื่อขายในประเทศและการผลิตเพื่อการส่งออก
ในมุมนี้!! การที่ค่ายรถยนต์ขนาดเล็กหรือขนาดกลางที่นำเข้ารถอีวีมาจำหน่าย และยังไม่มีแผนผลิต หรือประกอบในไทย และยังไม่ได้ลงนามมีสัญาใจเบื้องต้นต่างก็มองว่าการขายอีวีในตลาดยิ่งยากขึ้นไปอีก เพราะที่สำคัญราคารถไม่เกิน 2 ล้านบาทก็ไม่สามารถแข่งขันกับ 2 เจ้าใหญ่จากแดนมังกรได้แล้ว ขณะเดียวกันจะไม่สามารถนำรถอีวีไปขาย และจัดโปรโมชั่นขายรถตามมาตรการรัฐได้ นอกจากนี้ยังมีรายละเอียดปลีกย่อยที่ต้องศึกษาอีกมาก ทั้ง “เงินแบงก์การันตี” ที่ต้องวางมัดจำไว้กับรัฐ ซึ่งต้องจ่ายดอกเบี้ยให้ธนาคาร แทนที่จะนำเงินนั้นไปลงทุน หรือทำการตลาดให้เกิดประโยชน์ ดังนั้นหากไม่ใช่ค่ายใหญ่สายป่านยาว ก็ยอมรับว่าลำบาก พอสมควร
![](https://t.dailynews.co.th/wp-content/uploads/2022/03/03-19-1024x577.jpg)
ยอดขายไม่เกินหมื่นคัน
การที่รัฐเร่งคลอดรถอีวีตามเทรนด์โลก ด้วยการใช้กลไกของราคามากระตุ้น ก็เชื่อได้ว่าสามารถ “เกิดด่วน” ได้สมใจรัฐบาลแน่ โดยตัวเลขของยอดขายรถอีวีปีที่แล้ว อยู่ที่ประมาณ 2,000 คัน แต่!! ปี 65 นี้ มีมาตรการส่งเสริมอาจกระโดดจากยอดเดิมที่คาดไว้ที่ 4,000 คัน เป็น 8,000 คัน และเชื่อว่าจะไม่มากไปกว่านี้แน่…หรือที่มองว่าเป็นหลักหมื่นคันขึ้นไป ไม่ใช่เรื่องง่าย เนื่องจากสินค้าในสต๊อกมีไม่เพียงพออยู่แล้ว ด้วยปัญหาใหญ่ระดับโลกที่ทุกอุตสาหกรรมเผชิญ คือ ขาดแคลนเซมิคอนดัคเตอร์ หรือบรรดาอุปกรณ์ชิพ อิเล็กทรอนิกส์ทั้งหลาย ที่ต้องใช้ในการผลิต ซึ่งรถอีวีก็ได้รับผลด้วยเช่นกัน
อีกปัจจัยหนึ่งที่ไม่สามารถมองข้ามได้ คือ การขยายพื้นที่ติดตั้ง อุปกรณ์หัวชาร์จไฟฟ้าของภาครัฐจะเป็นอย่างไร? เพื่อให้ผู้ขับขี่รถไฟฟ้าอุ่นใจ ไปที่ไหนก็มีที่เติม ไม่ใช่ออกมาตรการกระตุ้นการขาย ยอดรถ อีวีพุ่ง แต่จุดชาร์จมีรองรับไม่เพียงพอ โดยที่ผ่านมาค่ายรถยนต์ที่มีรถอีวีจำหน่ายได้พยายามที่จะติดตั้งให้ครอบคลุมเพื่อบริการลูกค้าของตน ก็ไม่ได้ครอบคลุมทุกพื้นที่ โดยราคาค่าไฟต่อหน่วยในการชาร์จอยู่ที่หน่วยละ 6.50-7.50 บาท ซึ่งในแถบยุโรปพฤติกรรมการชาร์จรถอีวี ชาร์จที่บ้าน 80% ชาร์จที่ทำงาน 15% และชาร์จที่สาธารณะ 5% เท่านั้น
สำหรับแพ็กเกจอีวีของรัฐบาล เห็นได้ชัดว่ารถราคาไม่เกิน 2 ล้านบาท ได้รับประโยชน์แน่ แต่ถ้าเกิน 2 ล้านบาทขึ้นไปก็มีความ
แตกต่าง ซึ่งเห็นได้ว่าค่ายรถยุโรป แทบไม่มีส่วนได้ส่วนเสีย หรืออยากมีส่วนร่วมกับโครงการนี้ อีกทั้งลูกค้าของรถกลุ่มนี้ไม่ได้สนใจ เพราะตราบใดที่ผลิตภัณฑ์ถูกใจ มีเงินเพียงพอ ก็ยังเลือกซื้อรถที่ต้องการใช้ได้ เป็นคันที่ 2 คันที่ 3 หรือคันที่ 4
ในอนาคต!! ก็ต้องจับตาดูกันว่าราคารถอีวี ที่ใกล้เคียงกับรถสันดาป หรือรถที่ใช้นำมันในปัจจุบัน จะได้รับผลกระทบหรือไม่? ซึ่งทุกมาตรการของรัฐที่ออกมา…ก็เพื่อให้ไทยยังสามารถรั้งตำแหน่งการเป็นฮับของอุตสาหกรรมยานยนต์ หรือดีทรอยต์แห่งเอเชียได้ต่อไป.