วันที่ 21 ต.ค. หม่อมหลวงปีกทอง ทองใหญ่ รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยผลการสำรวจ FTI CEO Poll ครั้งที่ 41 ในเดือนตุลาคม 2567 ภายใต้หัวข้อ “แพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซขายสินค้าราคาถูกบุกไทย อุตสาหกรรมจะรับมืออย่างไร” พบว่าผู้บริหาร ส.อ.ท. ที่ตอบแบบสำรวจถึง 35.1% มียอดขายลดลงจากการเข้ามาของแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซขายสินค้าถูกจากต่างประเทศ โดยเฉพาะในกลุ่มสินค้าเครื่องนุ่งห่ม เฟอร์นิเจอร์ ผลิตภัณฑ์พลาสติก บรรจุภัณฑ์ เป็นต้น

ซึ่งสินค้าที่ขายผ่านแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซบางรายการอาจเป็นสินค้าที่ไม่ได้มาตรฐาน ไม่มีคุณภาพ หรือไม่ตรงปก ทำให้ผู้บริโภคสูญเสียเงิน ตลอดจนมีความเสี่ยงในเรื่องความปลอดภัยในการบริโภคสินค้าด้วย

ดังนั้นผู้บริหาร ส.อ.ท. จึงเสนอให้ภาครัฐกำหนดเงื่อนไขให้ผู้ให้บริการแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซจากต่างประเทศจะต้องจดทะเบียนนิติบุคคลและมีสำนักงานในไทยเพื่อให้สามารถจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) และมีการบังคับใช้กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการคุ้มครองผู้บริโภคอย่างเคร่งครัด รวมทั้งกำหนดให้ผู้ให้บริการแพลตฟอร์มรับผิดชอบในการคืนสินค้า กรณีสินค้าไม่ได้คุณภาพหรือไม่ตรงปก

อย่างไรก็ตาม จากผลสำรวจพบว่า ผู้บริหาร ส.อ.ท. ส่วนใหญ่ยังมองว่า สินค้าไทยยังสามารถแข่งขันกับสินค้าราคาถูกจากต่างประเทศที่ผ่านแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซได้ แต่ผู้ประกอบการไทยจะต้องเร่งปรับตัวเพื่อพัฒนาและสร้างจุดแข็งให้กับสินค้า โดยเฉพาะการพัฒนามาตรฐานผลิตภัณฑ์ การนำเทคโนโลยีนวัตกรรมมายกระดับกระบวนการผลิตและผลิตภัณฑ์ รวมทั้งการสร้างเครือข่ายความร่วมมือทางธุรกิจในการส่งเสริมสินค้าที่ผลิตในประเทศและการเปิดตลาดไปยังต่างประเทศ

จากการสำรวจผู้บริหาร ส.อ.ท. (CEO Survey) จำนวน 175 ท่าน ครอบคลุมผู้บริหารจาก 46 กลุ่มอุตสาหกรรม และ 76 สภาอุตสาหกรรมจังหวัด มีสรุปผลการสำรวจ FTI CEO Poll ครั้งที่ 41 จำนวน 6 คำถาม ดังนี้

1.แพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซขายสินค้าราคาถูกส่งผลกระทบต่อยอดขายสินค้าอย่างไร
-อันดับ 1 : ไม่ได้รับผลกระทบ 47.4%
-อันดับ 2 : ลดลง 35.1%
-อันดับ 3 : เพิ่มขึ้น 17.5%

2.แพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซขายสินค้าราคาถูกมีผลกระทบเชิงบวกอย่างไร
-อันดับ 1 : เพิ่มทางเลือกให้กับผู้บริโภคในการเข้าถึงสินค้าจากโรงงานโดยตรงไม่ผ่านคนกลาง 65.7%
-อันดับ 2 : เร่งให้ผู้ประกอบการไทยต้องมีการปรับตัวพัฒนาธุรกิจให้สามารถแข่งขันได้ 64.0%
-อันดับ 3 : ส่งเสริมตลาดอีคอมเมิร์ซในประเทศให้ขยายตัว ตลอดจนส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล (Digital Economy) 26.3%
-อันดับ 4 : ช่วยลดต้นทุนในการบริหารสินค้าคงคลังให้แก่ผู้ประกอบการที่สั่งสินค้ามาจำหน่ายในประเทศ 13.1%

3.แพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซขายสินค้าราคาถูกจะส่งผลกระทบเชิงลบในเรื่องใด
-อันดับ 1 : สินค้าที่ไม่มีมาตรฐานและคุณภาพเข้ามาในประเทศ ส่งผลถึงความปลอดภัยของผู้บริโภคและทำให้เกิดภาระในการกำจัดขยะ 61.7%
-อันดับ 2 : ไม่สามารถแข่งขันด้านราคาและทำให้ถูกแย่งส่วนแบ่งการตลาด 44.6%
-อันดับ 3 : ความเสี่ยงที่จะส่งผลกระทบต่อห่วงโซ่อุปทาน (Supply Chain) ของอุตสาหกรรมในประเทศ 41.7%
-อันดับ 4 : กระทบต่อกำไรของผู้ประกอบการในประเทศ เนื่องจากต้องปรับลดราคา และต้นทุนเพื่อแข่งขัน 26.9%

4.ภาครัฐควรมีการกำกับดูแลผู้ให้บริการแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซอย่างไร
-อันดับ 1 : กำหนดเงื่อนไขให้ผู้ให้บริการแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซ จากต่างประเทศต้องจดทะเบียนนิติบุคคลและมีสำนักงานในไทย เพื่อจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) 67.4%
-อันดับ 2 : บังคับใช้กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการคุ้มครองผู้บริโภคอย่างเคร่งครัด เปิดช่องทางให้ร้องเรียนได้สะดวกและกำหนดให้ผู้ให้บริการแพลตฟอร์มบริหารจัดการการคืนสินค้ากรณีสินค้าไม่ได้คุณภาพหรือไม่ตรงปก 46.9%
-อันดับ 3 : บังคับให้ผู้ให้บริการแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซต้องมีการแสดงเครื่องหมายมาตรฐาน รวมทั้งฉลากบนแพลตฟอร์มขายสินค้าออนไลน์ 45.1%
-อันดับ 4 : ควรมีการตรวจสอบการใช้ระบบชำระเงิน (Payment) ออกไปยังต่างประเทศ โดยบังคับให้เข้าสู่ระบบที่ถูกต้องและอยู่ภายใต้การกำกับของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) 26.3%

5.ภาคเอกชนควรปรับตัวรับมือกับการเข้ามาของแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซขายสินค้าราคาถูกอย่างไร
-อันดับ 1 : พัฒนามาตรฐานผลิตภัณฑ์และการนำเทคโนโลยีนวัตกรรม มายกระดับกระบวนการผลิตและผลิตภัณฑ์ 57.7%
-อันดับ 2 : สร้างเครือข่ายความร่วมมือทางธุรกิจในการส่งเสริมสินค้า ที่ผลิตในประเทศและการเปิดตลาดสินค้า 48.6%
-อันดับ 3 : การใช้แนวคิดความคิดสร้างสรรค์ (Creative & Design) เพื่อสร้างเอกลักษณ์ให้กับผลิตภัณฑ์และให้ความสำคัญกับการจดสิทธิบัตร 34.9%
-อันดับ 4 : การสร้างแบรนด์สินค้าให้เป็นที่ยอมรับและพัฒนาบริการหลังการขาย 32.0%

6.อุตสาหกรรมสามารถแข่งขันกับสินค้าราคาถูกที่เข้ามาผ่านแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซได้หรือไม่
-อันดับ 1 : สามารถแข่งขันได้ 80.7%
-อันดับ 2 : ไม่สามารถแข่งขันได้ 19.3%