คลินิกการแพทย์แผนจีนหัวเฉียว และมหาวิทยาลัยหัวเฉียวเฉลิมพระเกียรติ หน่วยงานภายใต้มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ผนึกกำลังร่วมกับ 5 สถาบันการแพทย์แผนจีนชั้นนำจากสาธารณรัฐประชาชนจีน ได้แก่ มหาวิทยาลัยการแพทย์แผนจีนเซี่ยงไฮ้, โรงพยาบาลหลงหัว นครเซี่ยงไฮ้, มหาวิทยาลัยการแพทย์แผนจีนเฉิงตู, มหาวิทยาลัยการแพทย์แผนจีนฝูเจี้ยน และมหาวิทยาลัยการแพทย์แผนจีนเทียนจิน เปิดตัวนวัตกรรมครั้งใหม่ของศาสตร์การแพทย์แผนจีน ในงาน “ก้าวล้ำ คลินิกการแพทย์แผนจีนหัวเฉียว พัฒนาการที่ไม่หยุดนิ่ง ครั้งที่ 2” ด้วยการนำเสนอนวัตกรรมและเทคโนโลยีล่าสุดของการประเมินผลสุขภาพด้วยการแพทย์แผนจีน ผ่าน 2 นวัตกรรมใหม่ “กระจก Al ตรวจโรคอัจฉริยะ” และ “หุ่นยนต์ AI เช็คสุขภาพเสี่ยวคัง” ครั้งแรกในประเทศไทย พร้อมกิจกรรมให้ความรู้ เวทีเสวนา และการให้บริการตรวจสุขภาพด้วยศาสตร์การแพทย์แผนจีนฟรีตลอดทั้งงาน เมื่อวันที่ 18-19 ตุลาคมที่ผ่านมา ณ สามย่านมิตรทาวน์

โดยงานในครั้งนี้ นับเป็นการตอกย้ำถึงความสำเร็จและความก้าวหน้าของศาสตร์การแพทย์แผนจีน ของคลินิกการแพทย์แผนจีนหัวเฉียว และมหาวิทยาลัยหัวเฉียวเฉลิมพระเกียรติ ภายใต้ความร่วมมือกับสถาบันการแพทย์แผนจีนชั้นนำของสาธารณรัฐประชาชนจีน ทั้ง 5 สถาบัน โดยงาน “ก้าวล้ำ คลินิกการแพทย์แผนจีนหัวเฉียวพัฒนาการที่ไม่หยุดนิ่ง ครั้งที่ 2” ได้รับเกียรติจากนายพิชัย นริพทะพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์, นายอู๋ จื้ออู่ อัครราชทูตสถานเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐประชาชนจีนประจำประเทศไทย, ดร.วิเชียร เตชะไพบูลย์ ประธานกรรมการมูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง พร้อมด้วยนายอรัญ เอี่ยมสุรีย์ ผู้อำนวยการคลินิกการประกอบโรคศิลปะ สาขาการแพทย์แผนจีนหัวเฉียว ให้เกียรติร่วมในพิธีเปิดงานในครั้งนี้

นายพิชัย นริพทะพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ กล่าวว่า ผมมีความยินดีและเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้รับเชิญมาร่วมเปิดงาน “ก้าวล้ำ คลินิกการแพทย์แผนจีนหัวเฉียวพัฒนาการที่ไม่หยุดนิ่ง ครั้งที่ 2” ในครั้งนี้ ซึ่งนับเป็นอีกก้าวสำคัญในการพัฒนาและส่งเสริมการแพทย์แผนจีนในประเทศไทย เพื่อให้ทุกคนสามารถเข้าถึงการรักษาด้วยค่าบริการที่เป็นธรรม การแพทย์แผนจีนจึงไม่เพียงแต่เป็นศาสตร์ที่สะท้อนถึงวัฒนธรรมและภูมิปัญญา แต่ยังถือเป็น Soft Power ที่ทรงคุณค่า มีเอกลักษณ์ และเป็นประโยชน์ต่อประเทศไทยในหลายมิติ และการที่คลินิกการแพทย์แผนจีนหัวเฉียวได้รับความร่วมมืออย่างใกล้ชิดจากสถาบันชั้นนำของสาธารณรัฐประชาชนจีน จะทำให้คลินิกการแพทย์แผนจีนหัวเฉียว เป็นศูนย์กลางทางการแพทย์แผนจีนแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีนในประเทศไทย และเป็นศูนย์กลางสมุนไพรในภูมิภาคอาเซียนต่อไป จึงขอแสดงความยินดีกับคลินิกการแพทย์แผนจีนหัวเฉียวที่มีความมุ่งมั่นพัฒนาอย่างไม่หยุดยั้ง พร้อมสร้างประโยชน์ให้กับประชาชนในการดูแลสุขภาพผ่านศาสตร์การแพทย์แผนจีน และเป็นที่ยอมรับทั้งในประเทศไทยและระดับนานาชาติ

นายอรัญ เอี่ยมสุรีย์ ผู้อำนวยการคลินิกการประกอบโรคศิลปะ สาขาการแพทย์แผนจีนหัวเฉียว กล่าวว่า กว่า 29 ปีที่ผ่านมาที่คลินิกการแพทย์แผนจีนหัวเฉียวได้ก่อตั้งขึ้น ด้วยเจตนารมณ์ที่จะนำความรู้ และประสบการณ์ด้านการแพทย์แผนจีนมาช่วยแก้ปัญหาสุขภาพของประชาชนชาวไทยด้วยมาตรฐานระดับสากล และค่าบริการที่เป็นธรรม จนปัจจุบัน ได้พัฒนาสู่ความร่วมมือในระดับประเทศ กับสถาบันการแพทย์แผนจีนชั้นนำของสาธารณรัฐประชาชนจีน ทั้ง 5 สถาบัน มีการพัฒนาและขยายตัวอย่างต่อเนื่อง โดยสร้างสาขาในส่วนภูมิภาคขึ้น 2 สาขา ได้แก่ สาขาโคราช ในปี 2557 และสาขาศรีราชาในปี 2562 และยังสร้างมาตรฐานใหม่ให้กับยาสมุนไพรจีนในประเทศไทย

โดยการสร้างคลังยาศรีสมาน จังหวัดนนทบุรี ในปี 2558 ซึ่งเป็นคลังยาสมุนไพรจีนที่ใหญ่ที่สุดในอาเซียนด้วยการบริหารจัดการที่ได้มาตรฐานสากล เพื่อเก็บรักษายาสมุนไพรจีนที่นำเข้าโดยตรงจากแหล่งผลิต หรือที่เรียกว่า “เต้าตี้เย่าไฉ” เพื่อให้มียาสมุนไพรจีนที่มีคุณภาพไว้ใช้อย่างต่อเนื่อง และในปี 2561 คลินิกการแพทย์แผนจีนหัวเฉียวได้รับเกียรติจากสำนักการบริหารการแพทย์แผนจีนแห่งชาติ สาธารณรัฐประชาชนจีน แต่งตั้งให้เป็น “ศูนย์กลางการแพทย์แผนจีนแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีนในประเทศไทย” จนถึงปัจจุบัน และในปี 2563 คลินิกฯ ได้รับเกียรติจากกรมการแพทย์แผนไทย และการแพทย์ทางเลือก กระทรวงสาธารณสุข มอบใบประกาศเกียรติคุณ “สถานพยาบาลการแพทย์แผนจีนต้นแบบในประเทศไทย” รายแรกและรายเดียวในประเทศไทย และยังได้รับการยกย่องจากกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ กระทรวงสาธารณสุข ให้คลินิกฯ เป็น “หน่วยงานด้านการแพทย์แผนจีนขั้นสูง” อีกด้วย

“การจัดงานในครั้งนี้ เป็นการเผยแพร่ผลงานความสำเร็จของคลินิกการแพทย์แผนจีนหัวเฉียว ที่ได้พัฒนาความร่วมมืออย่างยั่งยืนร่วมกับ 5 องค์กรจากสาธารณรัฐประชาชนจีน ผ่านการนำเสนอเทคโนโลยีและนวัตกรรมล้ำสมัย อย่างกระจก Al ตรวจโรคอัจฉริยะ และหุ่นยนต์ AI เช็คสุขภาพเสี่ยวคังซึ่งช่วยสร้างการรับรู้เกี่ยวกับศาสตร์การแพทย์แผนจีนสมัยใหม่และมุ่งเน้นการนำเสนอผลงาน การแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ และการพัฒนาเทคนิคการรักษา รวมถึงการจัดแสดงเทคโนโลยีใหม่ๆ ทางด้านการแพทย์แผนจีน เพื่อพิสูจน์ถึงพัฒนาการทางการแพทย์ และความมุ่งมั่นอันแรงกล้าที่จะสร้างความก้าวหน้าให้กับวงการแพทย์แผนจีนในประเทศไทยต่อไปอย่างไม่หยุดนิ่ง โดยมีเป้าหมายสูงสุด คือการยกระดับคุณภาพชีวิตและสุขภาพของประชาชนให้แข็งแรงอย่างยั่งยืนสืบไป” นายอรัญ กล่าวปิดท้าย