เมื่อวันที่ 5 ก.ย.รายการโหนกระแสวันนี้ พูดคุยกรณี หญิงผู้เสียหาย ไปร้องเพจสายไหมต้องรอด ว่าถูกเจ้าอาวาสวัดดัง ย่านลำลูกกา จ.ปทุมธานี ยืมเงินไปเกือบ 10 ล้านบาท และบอกให้ผู้เสียหาย หากอยากได้เงินคืน ให้ไปยึดโบสถ์ยึดศาลาเอา
ป้ากอ หญิงผู้ร้องเล่าว่า ครอบครัวของตน ตั้งแต่รุ่นของคุณพ่อตน ทางครอบครัวเป็นอุปัฏฐากของวัดแห่งนี้ ย่านลำลูกกา ซึ่งเป็นวัดที่โด่งดังเรื่องมีสถานจำลองนรก สวรรค์ ดึงดูดโยม ดึงดูดนักท่องเที่ยว ตนก็ทำบุญกับวัดนี้มาตั้งแต่เด็กๆ ท่านเจ้าอาวาสรูปนี้อยู่มาตั้งแต่ปี 2549 เรื่อยมา
ตลอดที่ทำบุญที่วัดนี้ เจ้าอาวาสท่านรู้ว่าเราเป็นคนมีเงิน มีสตางค์ ท่านจะมาบอกว่า วัดจะทำนั่น ทำนี่ จะบูรณะ จะสร้างนั่นสร้างนี่ ขอให้ตนออกเงินไปก่อนได้ไหม เดี๋ยวทางวัดได้เงินกฐิน เงินผ้าป่ามา จะเอาเงินมาคืนให้เรา ครั้งละแสนบ้าง หมื่นบ้าง เรื่อยมา 13 ปี
เวลาโอนเงิน เจ้าอาวาสจะให้ตนโอนเงินเข้าบัญชีส่วนตัวของท่าน ไม่ใช่บัญชีวัด เพราะท่านบอกว่าใช้บัญชีวัดมันวุ่นวาย มีขั้นตอนเยอะ ขอเป็นบัญชีส่วนตัว เราไม่ได้คิดอะไร เห็นว่าทำบุญ ก็เลยโอน
ปัจจุบันเท่าที่รวบรวมหลักฐานได้ ยอดอยู่ที่ประมาณ 15 ล้านบาท ซึ่งทางพระเจ้าอาวาสไม่ได้คืนตามที่สัญญาเลย ก็มีการไปทำนิติกรรมสัญญา รับสภาพหนี้ โดยเจ้าอาวาสขอร้องให้ลดยอดหนี้ลงมาเหลือ 9 ล้านบาท แล้วถ้าได้เงินมาจะทยอยจ่ายคืนให้
โดยในสัญญา ระบุว่า ทรัพย์สินต่างๆที่ตนครอบครอง วัตถุมงคล เงินสดในบัญชี โฉนดที่ดิน(ถ้ามี) ยกให้ป้ากอทั้งหมด โดยป้ากอบอกว่า ท่านยังให้กุญแจวัดกับมือ บอกว่า ข้าวของอะไรต่างๆในวัด อยากได้มาเอาไปได้เลย แม้กระทั่งโบสถ์ถ้าอยากเอา มาเอาโบสถ์ไปได้เลย
คุณกิตยังบอกว่ายังมีเรื่องที่เจ้าอาวาสขอให้ช่วยจ่ายค่าไฟให้วัด เพราะวัดจะถูกตัดไฟ ยอดค่าไฟสุทธิ 9 แสนกว่าบาท ท่านก็พูดเหมือนเดิมว่า ได้กฐิน ได้ผ้าป่า จะเอาเงินมาคืน
นายก๊อง กรรมการวัดที่เคยเป็นมือขวาของท่านเจ้าอาวาสมาก่อน บอกว่า ปกติเวลามีบิลค่าไฟมา ท่านเจ้าอาวาสมีเงินแต่ไม่เอาไปจ่าย ตนก็ถามว่าหลวงพ่อทำไมไม่ไปจ่าย ท่านก็บอกว่าเดี๋ยวรอก่อน จนการไฟฟ้ามาตัดไฟ ยกหม้อไป ค่อยประสานให้คุณกิตมาจ่ายให้ ให้ไปเอาหม้อกลับมาคืน
ยืนยันว่าที่ผ่านมา วัดไม่เคยเดือดร้อนเรื่องเงิน เงินทองในตู้บริจาค 15 วันเปิดที ได้ 3 หมื่น 4 หมื่น 5 หมื่น เงินบริจาคไม่ใช่น้อยๆ แต่ท่านไม่เอามาใช้ทำนุบำรุงวัด ที่บอกว่าจะบูรณะซ่อมแซมก็แทบไม่เคยทำ มาทำช่วงหลังๆ นี่เอง
นายก๊องยังบอกว่า ตั้งแต่ช่วยงานวัดมาหลายปี เอาตั้งแต่ปี 55 เป็นต้นมา มีกฐินมีผ้าป่าทุกปี กรรมการวัดนับเงินได้เป็นล้านทุกปี นับเสร็จก็ส่งคืนท่านเจ้าอาวาสไป แต่ไม่รู้ว่าเงินไปไหน นับคืนท่านไป วันต่อมาเงินก็หายสาบสูญไป ไม่เคยเข้าบัญชีวัด เพราะทางเจ้าอาวาสไม่เคยเอายอดเงินวัดมาชี้แจงเลยสักครั้ง
คุณกิตบอกว่า ทั้งหมดที่เสียเงินให้ท่านไป เคยได้เงินคืนกลับมา 3,000 บาท โดยท่านส่งสลิป 3,000 บาทนี้กลับมาซ้ำ 6 รอบ เพื่อให้ตนเข้าใจว่าเป็นยอดเงิน 18,000 บาท แต่จริงๆ คือสลิปเดิม ส่งซ้ำๆ มา ได้เงินจริงแค่ 3,000 บาท
ต่อมาคุณกิต ไปทวงเงินหลวงพ่อเจ้าอาวาสที่วัด บอกว่าหมดเงินไปเยอะแล้ว เจ้าอาวาสถามว่า จะมาเอาอะไรจากฉัน พอทวงเข้ามากๆ ท่านก็ยกเท้าถีบ 2 ที ตนก็เบี่ยงตัวหลบทัน โดยเหตุการณ์ครั้งนั้น นายก๊องอยู่ในเหตุการณ์ เห็นทุกอย่าง
ขณะที่ คุณจุ๋ม เจ้าของคลื่นวิทยุ ได้สัมปทานคลื่นวิทยุของกองทัพมา ให้คนที่สนใจมาเช่าช่วงเวลาออกอากาศ ใครอยากทำรายการวิทยุ ก็ให้มาเช่าต่อจากตน ซึ่งทางวัด ก็มาขอเช่าคลื่นวิทยุ จากเดิม 1 ชั่วโมง ท่านเอาไปเทศนา มูลค่า 3 หมื่นบาท ทยอยจ่ายมาบ้าง ไม่ได้จ่ายบ้าง จนทางวัดขอลดเวลาลงมาเรื่อยๆ จากชั่วโมง มาเหลือ 5 นาที ไม่กี่พันบาท
เจ้าอาวาสบอกว่า ไม่ไหวแล้ว ไม่มีเงิน เราบอกว่าให้ท่านทำไปเถอะ มีเมื่อไหร่ก็ค่อยมาให้ แต่เวลาที่เราไปเก็บเงิน เหมือนเราเป็นขอทาน ได้ 500, 300 บาท บางทีก็ไม่ได้เงิน ต้องไปอ้อนวอน ขอเงินเหมือนเราเป็นขอทาน
ก่อนจะมาออกรายการ ก็ติดต่อไปหาเจ้าอาวาส ขอให้จ่ายเงินคืน แล้วตนจะไม่มาออกรายการ แต่เจ้าอาวาสบอกว่าไม่มีเงินหรอก จะเอาที่ไหนมาโอนให้ 2 แสนบาท
นายก๊องยังถึงกับพูดว่า เจ้าอาวาสรูปนี้ตีหน้าเศร้าเล่าความเท็จเก่ง พูดจาให้ญาติโยมสงสาร ตนถือว่าเป็นศิษย์อาจารย์เดียวกันกับเจ้าอาวาส ครูบาอาจารย์เราขอร้องให้มาช่วยดูแลเรื่องเงินวัด เราก็มา แต่พอมาเจอเหตุการณ์แบบนี้ เราก็คอยจับตาดูความผิดปกติมาหลายปี
ที่ผ่านมา เจ้าอาวาสยังให้ตนเอาเงินไปเข้าบัญชีให้อยู่เป็นประจำ แต่ชื่อบัญชีปลายทางที่รับเงิน กลับเป็นชื่อผู้หญิง คนละนามสกุล ไม่ใช่ญาติพี่น้องของเจ้าอาวาส เอาเงินเข้าทีนึงก็ มีตั้งแต่ 8-9 พันบาท ไปถึงหลักหมื่น สมัยก่อนไม่มีแอปธนาคาร ก็ให้เราเอาเงินไปเข้าให้ เราเคยถามท่านว่า เจ้าของบัญชีนี่เป็นอะไรกับท่านเจ้าอาวาส แต่ถามแล้วไม่ตอบ ก็คิดว่าเป็นเรื่องส่วนตัว เราก็ไม่ได้ถามอีก โอนต่อเนื่องมาเรื่อย จนถึงช่วงปี 2563 พอมีแอปธนาคารแล้ว ตนก็ไม่ได้เอาเงินไปธนาคารให้ท่านอีก
จุดแตกหักระหว่างนายก๊อง ที่อยู่เคียงข้างเจ้าอาวาสมาตลอด มาเกิดขึ้นตอนปี 2566 หลังเสร็จงานกฐิน กรรมการนับเงินได้ประมาณ 8 แสน เสร็จก็คืนเจ้าอาวาสไป ช่วงบ่ายวันนั้น เจ้าอาวาสใช้ให้ตนเอาเงินใส่ถุงคืนคุณกิต เป็นเงิน 5 แสนบาท โดยเงิน 5 แสนนี้ เจ้าอาวาสท่านนับแยกเองเป็นกองๆ กองละแสน บอกให้ตนเอาเงินใส่ถุง ตนเห็นกองที่เป็นแบงก์500 มันน้อยผิดปกติ ก็ถามว่ากองนี้มันถึงแสนไหม ท่านบอกว่านับมาแล้ว ไม่มีปัญหาหรอก เอาใส่ถุงไปอย่างเดียวก็พอ
คุณกิตก็มารับเงินที่วัด แต่ตอนที่มารับเงิน ท่านทำลับๆ ล่อๆ รอให้กรรมการทุกคนกลับไปก่อน แล้วให้ตนมารับเงินแบบเงียบๆ ไม่ให้กรรมการรู้ พอกลับถึงบ้าน ก็นับเงิน ปรากฏว่าเงินหายไป 5 หมื่นบาท พอโทรมาถามหลวงพ่อ หลวงพ่อกลับบอกว่า นายก๊องเป็นคนนับ เป็นคนเอาเงินใส่ถุง
คุณกิตเลยบอกว่า เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับนายก๊อง ในเมื่อกรรมการเป็นคนนับเงิน หนี้เป็นหนี้ของหลวงพ่อ จะมาโยนให้นายก๊องได้ยังไง ขณะที่นายก๊องก็บอกว่า ตอนที่เอาเงินใส่ถุง หลวงพ่อยืนดูอยู่แท้ๆ ถ้าตนเอาเงินไป หลวงพ่อก็ต้องเห็น ใครมันจะดึงเงิน 5 หมื่นไปได้โดยที่ไม่มีใครรู้ เชื่อได้เลยว่าหลวงพ่อเตรียมการไว้เพื่อจะโยนบาปให้ตนแน่นอน
ขณะที่เจ้าอาวาส โฟนอินเข้ามาโต้แย้งว่า การจะพูดว่ายืมเงินหรือไม่ยืม ต้องมีหลักฐานยืนยัน ว่ายืมจริงหรือไม่ยืม ส่วนเอกสารรับสภาพหนี้ ก็เซ็นไปจริงๆ แต่ในเงื่อนไขก่อนที่จะเซ็นก็คือ ต้องให้คนที่มีเงินมาชดใช้หนี้แทน แต่มันมีเหตุขัดข้อง เขาก็เลยยังไม่ได้มาชดใช้ให้ตามที่บอก เรื่องหนังสือรับสภาพหนี้ เขาขู่จะจับสึก ถ้าเรารู้ว่าเป็นผลร้ายแรง อาตมาก็จะไม่เซ็น
เรื่องที่เอาเงินไปเข้าบัญชีผู้หญิง เป็นคนยากไร้ เป็นนักเรียนที่ขาดโอกาส เราก็โอนเงินช่วยเขาไป ที่ไม่ได้เอาเงินไปจ่ายค่าไฟก่อน เพราะว่าเด็กรีบร้อนกว่า เดี๋ยวจะไม่ได้สอบ แต่เรื่องไฟฟ้า โยมกอเขารู้ ก็อาสาไปจ่ายให้ ไม่ได้ไปบังคับเขา
เมื่อถามว่า เกิดเรื่องแบบนี้มา ถ้าพิสูจน์ว่าหลวงพ่อจะสึกไหม หลวงพ่อตอบว่า โทษมันไม่ถึงกับสึกนี่
สิ่งที่ออกมายืนยันในตอนนี้ อาตมาเป็นพระ จะออกมาโต้แย้งอะไร มันก็ดูจะไม่เหมาะ แต่อยากฝากผ่านญาติโยมที่ได้รับชม ว่าอย่าสิ้นศรัทธาในพระพุทธศาสนา ขอให้ตั้งมั่น ทำบุญกันต่อไป