สำนักข่าวเอเอฟพี รายงานจากกรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น เมื่อวันที่ 1 ก.ย. ว่า มาตรการดังกล่าว ซึ่งเปิดเผยในคำของบประมาณกลาโหมล่าสุด เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา มีขึ้นหลังกองกำลังป้องกันตนเองญี่ปุ่น (เอสดีเอฟ) รายงานการเกณฑ์ทหารประจำปีครั้งเลวร้ายที่สุดเป็นประวัติการณ์ โดยในช่วงเวลาหนึ่งปี จนถึงวันที่ 31 มี.ค. ที่ผ่านมา เอสดีเอฟขึ้นทะเบียนทหารเกือบ 10,000 นาย ซึ่งคิดเป็นครึ่งหนึ่งของเป้าหมายที่กำหนดไว้
เนื่องจากความกลัวว่าจีนอาจใช้กองกำลังทหารเพื่อเข้าควบคุมไต้หวัน และลากญี่ปุ่นเข้าสู่สงคราม นายกรัฐมนตรีฟุมิโอะ คิชิดะ ผู้นำญี่ปุ่น จึงประกาศเมื่อปี 2565 ว่าจะเพิ่มการใช้จ่ายด้านกลาโหมเป็นสองเท่า เพื่อซื้อขีปนาววุธ, เครื่องบินขับไล่สมรรถนะสูง และอาวุธอื่น ๆ ตลอดจนสร้างกองกำลังป้องกันทางไซเบอร์
อย่างไรก็ตาม อัตราการเกิดที่ลดลง ส่งผลให้ญี่ปุ่นประสบกับความยากลำบากมากขึ้น ในการรักษาจำนวนทหารของเอสดีเอฟในปัจจุบัน ให้อยู่ที่ 250,000 นาย
“ในการเพิ่มความแข็งแกร่งด้านการป้องกัน เราจำเป็นต้องสร้างองค์กรที่สามารถต่อสู้ด้วยวิธีใหม่ ๆ” กระทรวงกลาโหมญี่ปุ่น ระบุในคำของบประมาณประจำปี โดยเรียกร้องให้เพิ่มการใช้จ่าย 6.9% เป็น 8.5 ล้านล้านเยน (ราว 2 ล้านล้านบาท) ซึ่งเป็นตัวเลขสูงสุดเท่าที่เคยมีมา
นอกจากนี้ กระทรวงกลาโหมญี่ปุ่นยังระบุเสริมว่าจะนำเทคโนโลยีเอไอมาใช้, ซื้ออากาศยานไร้คนขับเพิ่มเติม, สั่งซื้อเรือรบป้องกันภัยทางอากาศที่มีระบบอัตโนมัติขั้นสูง รวมถึงเสนอแรงจูงใจทางการเงิน และสภาพความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น เพื่อรับมือกับจำนวนทหารเกณฑ์ที่ลดลงเช่นกัน.
เครดิตภาพ : AFP