สำนักข่าวเอเอฟพี รายงานจากกรุงคาบูล ประเทศอัฟกานิสถาน เมื่อวันที่ 1 ก.ย. ว่า แถลงการณ์ของกลุ่มตาลีบัน มีขึ้นหลังภารกิจให้ความช่วยเหลือของยูเอ็นประจำอัฟกานิสถาน (ยูนามา) เตือนว่า กฎหมายศีลธรรมฉบับใหม่ ซึ่งกำหนดให้ผู้หญิงชาวอัฟกัน ต้องปกปิดใบหน้าและร่างกาย และห้ามส่งเสียงให้ได้ยินเป็นอันขาด จะส่งผลกระทบต่อโอกาสในการมีส่วนร่วมกับประชาคมระหว่างประเทศ
กระทรวงส่งเสริมคุณธรรมและป้องกันความชั่วร้ายของกลุ่มตาลีบัน หรือเรียกอย่างไม่เป็นทางการว่า “กระทรวงศีลธรรม” หรือ “กระทรวงคุณธรรม” ระบุว่า ทางกระทรวงจะไม่ให้การสนับสนุน หรือความร่วมมือใด ๆ กับยูนามา เนื่องจากอีกฝ่ายเผยแพร่โฆษณาชวนเชื่ออย่างต่อเนื่อง ซึ่งถือเป็นฝ่ายตรงข้ามของรัฐบาลตาลีบัน
“เราต้องการให้องค์กรระหว่างประเทศ, ประเทศต่าง ๆ และบุคคลที่วิจารณ์กฎหมายดังกล่าว เคารพค่านิยมทางศาสนาของชาวมุสลิม รวมถึงละเว้นการวิพากษ์วิจารณ์ และการกล่าวถ้อยคำที่ดูหมิ่นค่านิยมและความศักดิ์สิทธิ์ของศาสนาอิสลาม” กระทรวงศีลธรรม ระบุในแถลงการณ์บนสื่อสังคมออนไลน์ เมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา
ทั้งนี้ รัฐบาลตาลีบันประกาศการประมวลกฎหมาย 35 มาตรา ซึ่งมีรายละเอียดครอบคลุมพฤติกรรม และข้อจำกัดในการใช้ชีวิต โดยยึดตามการตีความกฎหมายชารีอะห์อย่างเคร่งครัด ซึ่งผู้ที่ไม่ปฏิบัติตามจะถูกลงโทษในรูปแบบต่าง ๆ ตั้งแต่การตักเตือนด้วยวาจา ไปจนถึงการขู่เข็ญ, การปรับเงิน และการกักขัง ซึ่งบังคับใช้โดยตำรวจศีลธรรม ภายใต้กระทรวงศีลธรรม
ด้านนางโรซา โอตุนบาเยวา ผู้อำนวยการของยูนามา เรียกกฎหมายดังกล่าวว่าเป็นภาพที่น่ากังวลสำหรับอนาคตของอัฟกานิสถาน ซึ่งผู้ตรวจสอบมีอำนาจตามดุลพินิจในการข่มขู่และคุมขังผู้ใดก็ตาม โดยพิจารณาจากรายการการกระทำผิดที่กว้างขวาง และคลุมเครือในบางกรณี.
เครดิตภาพ : AFP