“ปารีสเกมส์” เป็นโอลิมปิกที่คนไทยได้เชียร์นักกีฬาไทย สนุกต่อเนื่อง ยาวนานที่สุด
แม้ในอดีตจะมีครั้งที่นักกีฬาไทย สร้างผลงานได้ดี แต่ส่วนใหญ่โปรแกรมแข่งขัน จะเทหน้า หรือเทหลัง มีช่วงที่เหงาๆ ซึมๆ โดยเฉพาะช่วงท้ายๆ ที่เรามักหมดลุ้น
แต่โอลิมปิกหนนี้ เชียร์กันยาวๆ ช่วงแรกอาจยังไม่มีเหรียญ แต่กีฬาความหวัง มวย, แบดมินตัน ก็แข่งรอบแรก กระทั่งผ่านครึ่งทางจึงถือว่า โอลิมปิก ของคนไทยเปิดฉากอย่างแท้จริง ได้ลุ้นได้เชียร์กันยาวเหยียด
“วิว” กุลวุฒิ วิทิตศานต์ เปิดหัวจากเหรียญเงินแบดมินตัน ต่อด้วยทองแดงมวยของ จันทร์แจ่ม สุวรรณเพ็ง
ถึงวันไฟลุกของทัพไทย 7 ส.ค. วันเดียวกวาด 1 ทอง 1 เงิน 1 ทองแดง จาก “เทนนิส” พาณิภัค วงศ์พัฒนกิจ นักเทควันโด และ 2 นักยกน้ำหนัก ธีรพงศ์ ศิลาชัย, สุรจนา คำเบ้า
ไล่มาถึง วีรพล วิชุมา ที่คว้าเหรียญเงินในวันถัดไป
“ใบเตย” ศศิกานต์ ทองจันทร์ นักเทควันโด แข่งเมื่อ 9 ส.ค., “โปรจีน” อาฒยา ฐิติกุล ที่แข่งจบวันรองสุดท้าย วันที่ 10 ส.ค.
ทั้ง 2 คน ไม่ได้เหรียญ แต่ก็ทำให้คนไทยได้ลุ้น ได้เชียร์
หรือแม้แต่วันสุดท้ายพิธีปิด 11 ส.ค. ก็ยังมีลุ้นอีกเหรียญจากยกน้ำหนักหญิง “ส้ม” ดวงอักษร ใจดี รุ่นมากกว่า 81 กก. แข่งเวลาไทย 16.30 น.
ทั้งหมดล้วนสร้างความสุขให้คนไทย ปลุกอดรีนาลีนในตัวสูบฉีดพุ่งพล่าน เป็นโอลิมปิกโค้งสุดท้ายที่ดูสนุก
ต้องปรบมือ และขอบคุณฮีโร่โอลิมปิกเกมส์ ทั้งที่ได้เหรียญ และไม่ได้เหรียญ ที่ต่างมุ่งมั่นทำหน้าที่เพื่อคนไทยอย่างเต็มที่
ซึ่งในบรรดานักกีฬาไทยที่ทุกคนตามเชียร์ ต้องยอมรับว่ามีคนที่เปล่งประกายแสง ได้รับความสนใจจากคนไทยมากที่สุด
เรียกว่าเป็น “พระเอก” เอ้ย “นางเอก” ของงาน
“เทนนิส” พาณิภัค วงศ์พัฒนกิจ
ด้วยสตอรี่ต่างๆ ของเธอ มันปูทางมาให้เป็นวาระของชาติ ในการติดตามเชียร์ ติดตามความเคลื่อนไหว
ทั้งผลงานที่ทำมา สร้างประวัติศาสตร์มากมาย เป็นคนไทยคนเดียวที่ได้เหรียญโอลิมปิก 3 ครั้ง, เป็นคนไทยคนเดียวที่ได้เหรียญทองโอลิมปิก 2 สมัย
นี่คือนักกีฬาที่ยิ่งใหญ่ที่สุดตลอดกาล ตำนานที่ยังมีชีวิต ถ้าจะมีคนสร้างอนุสาวรีย์ หรือเปลี่ยนชื่อสนามกีฬา, ชื่อหมู่บ้านเป็นชื่อของเธอ ก็เหมาะสมอย่างยิ่ง
ที่สำคัญคือเธอเคยประกาศว่า “ปารีสเกมส์” จะเป็นการเล่นเทควันโดครั้งสุดท้ายแล้ว ทำให้คนไทยยิ่งติดตามการปิดตำนาน Last Dance ของเธอ
อย่างไรก็ตาม หลังรอบชิงชนะเลิศ ที่ชนะ ชิงกัวะ เหมือน น้องเทนนิส จะมีลังเลกับคำถามว่า จะเปลี่ยนใจหรือไม่ เมื่อเธอตอบว่า “ขอดูอีกที”
แล้ว พาณิภัค ควรจะเล่นหรือเลิก!
สื่อต่างชาติต่างสงสัย ข้องใจ ชนะขาดแบบชิลชิลมาตลอด อยู่จุดสูงสุดได้อีกนาน ทำไมถึงเลิก
คำตอบของเธอคือ เธอเจ็บ เธอปวด หมดทั้งตัว มันไม่ไหวแล้วจริงๆ
ถามคุณพ่อ นายสิริชัย วงศ์พัฒนกิจ ก็บอกว่าความเห็นส่วนตัว อยากให้เล่นต่อ เชื่อว่าได้อีก 1 โอลิมปิก อายุ 31 ปี ยังไหว คุมน้ำหนักได้ สำหรับ การแข่งที่ลอสแอนเจลลิส แต่ก็แล้วแต่การตัดสินใจของลูกสาว เข้าใจดีว่าเหนื่อยและเจ็บมาตลอดเส้นทาง
ถาม ผศ.พิมล ศรีวิกรม์ นายกสมาคมกีฬาเทควันโดแห่งประเทศไทย บอกว่า เสียดาย “เพชรเม็ดงาม” แต่ยอมรับการตัดสินใจ รู้ดีว่าเส้นทางนี้มันไม่ง่าย ไม่ได้ใช้ชีวิตแบบวัยรุ่น ไม่ได้กินอย่างที่อยากกิน เพราะต้องคุมน้ำหนัก
นักกีฬาประเภทต่อสู้ ไม่เหมือนกับกีฬาอื่น การซ้อมหนักเหมือนกัน แต่ที่ต่างคือการกิน ที่ต้องคุมน้ำหนัก เหนื่อยแต่กินไม่ได้อย่างที่ต้องการ
ไหนจะอาการบาดเจ็บจากการปะทะ จากการซ้อม จากการแข่ง อย่างที่เทนนิสบอก ว่าเธอเจ็บ เธอหัก แทบจะทั่วตัวแล้ว
แข่งแล้วชนะมันสนุก แต่ตอนเจ็บมันไม่สนุก
หลังคว้าทองที่ 2 โอลิมปิก ก็เหมือน เทนนิส จะปลดปล่อยอย่างเต็มที่ กินอย่างเต็มที่ที่อยากกิน อยากกินไอศกรีมก็ได้กินตามใจปาก
รูปร่างที่บอบบาง หากขุนให้มีเนื้อมีหนังกว่านี้ ขับให้ยิ่งสวยงามตามประสาผู้หญิง อย่างที่เธอบอกว่าพอกันทีสำหรับน้ำหนัก 49 กก.
พูดง่ายๆ คือตลอดเส้นทางที่เธอทำให้คนไทยมีความสุข แต่เธอต้องแอบเก็บความทุกข์ไว้ในใจ
มันควรจะเพียงพอแล้ว ที่คนหนึ่ง จะแบกภาระมากมายขนาดนี้
จึงไม่แปลกที่เธอจะจบเส้นทาง แม้อายุเพียง 27 ปี
ส่วนที่ให้สัมภาษณ์แสดงความลังเล อาจเพราะเพิ่งสัมผัสชัยชนะที่หอมหวาน เป็นชั่วครู่ที่ได้เสพสิ่งนั้น ได้สร้างชัยชนะให้ตัวเองและประเทศไทย มันช่างมีความสุข
เวลาทอดยาวไป เธอคงคิดตกผลึกได้ว่า จะไปทางไหน
เรื่องนี้ชั่งใจด้วยเหตุผลอาจตัดสินใจยาก
แต่ถ้าจะให้คิดง่ายๆ คือถามใจตัวเองว่ายังสนุกกับเทควันโดอยู่ไหม แล้วความสนุกนั้นคุ้มค่ากับสิ่งที่แลกไปหรือไม่ กลั่นเป็นคำตอบ
ไม่ว่าอย่างไร คนไทยก็สนับสนุนเต็มที่
ไม่ว่าอย่างไร เธอก็คือนักกีฬาที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ชาติไทย.
*** วุฒินล ***