สำนักข่าวต่างประเทศรายงานจากกรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส เมื่อวันที่ 18 ต.ค. ว่าจากกรณี “มีรายงานว่า” ประธานาธิบดีเอ็มมานูเอล มาครง ผู้นำฝรั่งเศส กล่าวระหว่างการประชุมคณะรัฐมนตรี ในสัปดาห์นี้ ว่า “อิสราเอลเป็นประเทศที่เกิดขึ้นได้เพราะสหประชาชาติ” ดังนั้น รัฐบาลเทลอาวีฟต้องยึดมั่นและปฏิบัติตามมติของยูเอ็นที่เกี่ยวข้องกับสถานการณ์ในฉนวนกาซาและเลบานอน” สื่อถึงมติของที่ประชุมสมัชชาสหประชาชาติ (ยูเอ็นจีเอ) เมื่อปี 2490
คำกล่าวของผู้นำฝรั่งเศสสร้างความไม่พอใจอย่างรุนแรง ให้กับนายกรัฐมนตรีเบนจามิน เนทันยาฮู ผู้นำอิสราเอล ซึ่งออกมาตอบโต้อย่างเผ็ดร้อน ว่าผู้นำฝรั่งเศส “บิดเบือนความจริงและทำลายประวัติศาสตร์” และ “เป็นการไม่ให้เกียรติกัน” ด้านนายเฌราร์ ลาร์กแชร์ ประธานวุฒิสภาฝรั่งเศส กล่าวว่า ประธานาธิบดีของประเทศกำลังแสดง “ความหยิ่งผยอง” ทางประวัติศาสตร์
Emmanuel Macron: "La France demande à Israël de mettre fin à ses opérations militaires (…) de respecter la souveraineté du Liban" pic.twitter.com/edVJQ4RBRZ
— BFMTV (@BFMTV) October 17, 2024
มาครงออกมากล่าวถึงเรื่องนี้อีกครั้ง ตำหนิ “ทุกภาคส่วน” ว่าตีความและรายงานคำพูดของเขาออกไปในทางที่บิดเบือน พร้อมทั้งขอให้ทุกฝ่าย โดยเฉพาะอย่างยิ่งสื่อมวลชน “ตรวจสอบข้อมูลและรายงานเนื้อหาด้วยความระมัดระวัง”
นอกจากนี้ ผู้นำฝรั่งเศสเน้นย้ำว่า เขา “พูดมากเกินพอแล้ว” เกี่ยวกับสถานการณ์ในตะวันออกกลาง “และไม่ต้องมีใครมาพากย์ซ้ำ” แต่ไม่ได้ชี้แจงเพิ่มเติม ว่าพูดเกี่ยวกับอิสราเอลอย่างไร “ในความเป็นจริง”
อย่างไรก็ตาม สมาคมผู้สื่อข่าวประจำทำเนียบประธานาธิบดีฝรั่งเศส ออกแถลงการณ์ว่า การรายงานข่าวของสื่อมวลชนสายทำเนียบ “ไม่ได้จำกัดอยู่แค่เพียงการเผยแพร่แถลงการณ์”
ปัจจุบัน การขับเคลื่อนนโยบายต่างประเทศเป็นหนึ่งในกิจการไม่กี่ด้าน ที่มาครงยังคงปฏิบัติเอง “ได้อย่างคล่องตัว” หลังการเลือกตั้งทั่วไปก่อนกำหนดที่ไม่มีขั้วการเมืองฝ่ายใดสามารถครองเสียงข้างมาได้อย่างเด็ดขาด ในสภาผู้แทนราษฎร และการที่ผู้นำฝรั่งเศสแต่งตั้งนายกรัฐมนตรีซึ่งมีจากกลุ่มการเมืองฝ่ายขวา สร้างความไม่พอใจอย่างรุนแรงให้กับฝ่ายซ้าย.
เครดิตภาพ : AFP