จากกรณีสื่อมวลชนนำเสนอข่าวผู้ประกอบการแพปลาสมุทรปราการยังไม่กล้ารับซื้อปลาหมอคางดำ เหตุกังวลความไม่ชัดเจนของภาครัฐ เนื่องจากมีการส่งต่อข้อมูลในกลุ่มผู้ประกอบการแพปลาด้วยกันว่า “ทั้งผู้รับซื้อและผู้ขายจะต้องมีใบอนุญาต” และไม่สามารถคุมราคาตามที่รัฐกำหนดได้  รวมถึงปริมาณที่จังหวัดสามารถรับซื้อได้น้อยต่อวันอาจเป็นภาระต่อผู้รวบรวมผลผลิต ตามที่เสนอข่าวแล้วนั้น

นายสุวัฐน์ วงศ์สุวัฒน์ รองอธิบดีกรมประมง ในฐานะโฆษกกรมประมง  เปิดเผยว่า  ขณะนี้กรมประมงได้รับสมัครผู้รวบรวมวัตถุดิบหรือแพปลา และตั้งจุดรับซื้อขึ้นในทุกพื้นที่ที่มีการแพร่ระบาดของปลาหมอคางดำแล้ว 75 จุด ทั้งนี้หลังจากเริ่มดำเนินการมา 7 วันพบว่ามีเกษตรกรนำปลาหมอคางดำมาจำหน่ายรวม 168,029.50 กก.และได้จัดส่งให้กรมพัฒนาที่ดินนำไปผลิตปุ๋ยหมัก 155,409.50 กก.  แต่อย่างไรก็ตามแพปลาผู้เข้าร่วมโครงการฯ บางรายรวมถึงประชาชนยังไม่ทราบถึงหลักเกณฑ์ เงื่อนไข และวิธีการดำเนินการที่ชัดเจน ดังที่สื่อมวลชนได้มีการนำเสนอข่าว กรมประมงจึงขอเรียนชี้แจงว่าผู้รวบรวมวัตถุดิบปลาหมอคางดำ หรือ แพปลา รายใดประสงค์จะขึ้นทะเบียนเป็นผู้รวบรวมปลาหมอคางดำ สามารถยื่นใบสมัครตามแบบฟอร์มสมัครผู้รวบรวมและจำหน่ายวัตถุดิบ  โดยต้องรับซื้อในราคากก.ละ 15 บาท ซึ่งจะได้รับค่ารวบรวมและค่าขนส่งไปยังหน่วยงานของพัฒนาที่ดินกก.ละ 5 บาท

เนื่องจากการรับสมัครผู้รวบรวมวัตถุดิบได้สิ้นสุดลงแล้วเมื่อวันที่ 30 ก.ค.ที่ผ่านมา แต่ยังไม่สามารถกระจายจุดรับซื้อให้เข้าถึงกลุ่มเกษตรกรชาวประมงผู้จำหน่ายได้เพียงพอตามปริมาณของปลาหมอคางดำ กรมประมงจึงออกประกาศขยายการรับสมัครผู้รับซื้อวัตถุดิบหรือแพปลาเพิ่มเติมออกไปจากประกาศฉบับเดิมจนถึงวันที่ 20 ส.ค.นี้  ในส่วนของเกษตรกร ชาวประมงที่เป็นผู้จำหน่าย กรมประมงขอเน้นย้ำว่าขั้นตอนการนำปลาหมอคางดำมาขายนั้น ไม่มีเงื่อนไขกำหนดในการรับซื้อ สามารถนำมาขาย ณ จุดรับซื้อต่างๆ ไม่จำกัดจำนวน  ซึ่งหากเกษตรกรผู้จำหน่ายขึ้นทะเบียนเกษตรกรผู้เพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ (ทบ.1) ที่จับจากบ่อตนเองขอให้แจ้งข้อมูลทบ.1 กับเจ้าหน้าที่ ณ จุดรับซื้อเพื่อเก็บเป็นฐานข้อมูลต่อไป

ด้านนายสมพร เกื้อสกุล ประมงจังหวัดสมุทรปราการ  กล่าวว่า ในพื้นที่มีผู้สมัครเข้าร่วมโครงการฯ 6 แห่ง ประกอบด้วย อ.พระสมุทรเจดีย์ 4 แห่ง อ.เมือง 1 แห่ง และอ.บางบ่อ 1 แห่ง ซึ่งหลังจากเริ่มโครงการฯ ได้แจ้งผู้สมัครทั้ง 6 แห่งเข้าร่วมประชุมรับทราบรายละเอียดตามคู่มือของโครงการฯ พร้อมเพิ่มช่องทางการติดต่อสื่อสารผ่านแอปพลิเคชัน Line เพื่อให้เจ้าหน้าที่ประมง เจ้าหน้าที่พัฒนาที่ดิน เจ้าหน้าที่ กยท. และผู้รวบรวมผลผลิตได้ประสานงานกันโดยตรงในกรณีประสบปัญหาหรือมีข้อติดขัดต่างๆ เพื่อความรวดเร็วและทันต่อสถานการณ์