สำนักข่าวเอเอฟพีรายงานจากนครนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา เมื่อวันที่ 13 มิ.ย. ว่านายฮวาง จุนกุก เอกอัครราชทูตเกาหลีใต้ประจำสหประชาชาติ กล่าวว่า รัฐบาลเปียงยาง “ยังคงดำเนินการละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างร้ายแรง อย่างเป็นระบบ, แพร่หลาย และกว้างขวาง”

ในแถลงการณ์ที่ลงนามโดย 57 ประเทศ รวมถึงสหรัฐ ระบุว่า การละเมิดเพิ่มขึ้น ควบคู่ไปกับการที่เกาหลีเหนือให้ความสำคัญกับการเดินหน้าพัฒนากองทัพ “สถานการณ์ด้านสิทธิมนุษยชนและมนุษยธรรมที่เลวร้าย มีความเกี่ยวพันกับความก้าวหน้าของโครงการพัฒนาอาวุธ” รัฐบาลเปียงยางกำลัง “เปลี่ยนทรัพยากรที่ขาดแคลน เป็นการพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์และขีปนาวุธ ซึ่งละเมิดมติของยูเอ็นเอสซี และทำลายความเป็นอยู่ที่ดีของประชาชน รวมไปถึงการไม่ต้องรับโทษทางการเมือง จากการละเมิดสิทธิมนุษยชน”

ด้านนายโฟลเคอร์ เติร์ก ข้าหลวงใหญ่เพื่อสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ กล่าวว่า “มันเป็นไปไม่ได้ ที่จะแยกสถานการณ์ละเมิดสิทธิมนุษยชน ออกจากการส่งเสริมกำลังทหารภายในประเทศ” เกาหลีเหนือเป็น “ประเทศซึ่งถูกปิดกั้นจากโลกภายนอก, มีสภาพแวดล้อมที่คับแคบและอึดอัด และชีวิตต่อสู้โดยปราศจากความหวัง”

อย่างไรก็ตาม ยูเอ็นมีอิทธิพลเหนือเกาหลีเหนืออย่างจำกัด และยูเอ็นเอสซีไม่สามารถผ่านมติเกี่ยวกับเกาหลีเหนือได้ ตั้งแต่ปี 2560 เนื่องจากจีนและรัสเซีย ซึ่งเป็น 2 ใน 5 สมาชิกถาวร นอกเหนือจากสหรัฐ สหราชอาณาจักร และฝรั่งเศส ใช้สิทธิวีโต้มติคว่ำบาตรรัฐบาลเปียงยาง

เมื่อวันพุธที่ผ่านมา จีนและรัสเซียล้มเหลว ในการพยายามขัดขวางการอภิปรายประเด็นสิทธิมนุษยชนของเกาหลีเหนือ นายเกิ่ง ส่วง อัครราชทูตจีนประจำยูเอ็น ให้ความเห็นว่า เรื่องนี้ “ไม่ก่อให้เกิดภัยคุกคามต่อสันติภาพและความมั่นคงระหว่างประเทศ”

ด้านนายวาซิลี เนเบนเซีย เอกอัครราชทูตรัสเซีย กล่าวถึงสถานการณ์ที่น่าละอาย ที่บางประเทศพยายาม “ใช้ประโยชน์จากคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ เป็นเครื่องมือดำเนินการ ให้สอดคล้องกับแผนการสร้างอิทธิพลทางภูมิรัฐศาสตร์ของตนเอง”.

เครดิตภาพ : AFP