เมื่อวันที่ 2 พ.ค. นพ.ธงชัย กีรติหัตถยากร อธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวถึงกรณีผลข้างเคียงหลังรับวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 ชนิดไวรัลเวกเตอร์ ของบริษัทแอสตราเซเนกา ที่พบภาวะลิ่มเลือดอุดตัน จนทำให้มีผู้เสียชีวิต ว่า เรื่องของผลข้างเคียงจากวัคซีนแอสตราฯ  เป็นสิ่งที่ทั่วโลก รวมถึงประเทศไทยรับทราบมาก่อนอยู่แล้ว แต่ที่ผ่านมา เรามีคณะกรรมการที่พิจารณาเรื่องของการฉีดวัคซีนให้กับกลุ่มที่เหมาะสมอยู่ อย่างไรก็ตาม หากย้อนกลับไปในช่วงที่มีการนำวัคซีนเข้ามาใช้ วัคซีนทุกชนิดที่ถูกนำเข้ามาใช้ในประเทศไทยเป็นแบบการใช้ในภาวะฉุกเฉิน (Emergency Use) เพื่อยับยั้งการระบาดของโรค ซึ่งวัคซีนตัวแรกที่ใช้คือ วัคซีนเชื้อตายของซิโนแวค ขณะที่ต่างประเทศ โดยเฉพาะประเทศแถบยุโรป ไม่ยอมรับวัคซีนดังกล่าว จะอนุญาตให้เฉพาะผู้ที่ฉีดวัคซีนแอสตราฯ เท่านั้น ที่สามารถเดินทางเข้าประเทศได้ ส่วนวัคซีน mRNA ก็ยังไม่ได้มีการผลิตออกมาใช้

“ประเทศไทยมีการฉีดวัคซีนแอสตราฯ ทั้งหมด 48 ล้านโด๊ส โดย 1 คน ฉีด 2 โด๊ส ดังนั้นมีผู้รับวัคซีนประมาณ 20 ล้านคน ซึ่งเข็มสุดท้ายที่ฉีดคือเมื่อเดือน มี.ค. 2566 ขณะที่ภาวะลิ่มเลือดอุดตันหลังการฉีดวัคซีนแอสตราฯ จะเกิดขึ้นหลังการรับวัคซีน 5-42 วัน เท่านั้น หากภาวะลิ่มเลือดอุดตันเกิดขึ้นหลังจากนั้น ไม่น่าจะใช่อาการที่เกิดจากวัคซีน จึงขอให้ประชาชนที่ฉีดวัคซีนแอสตราฯ อย่ากังวล ซึ่งภาวะดังกล่าวหลังการฉีดวัคซีนนั้นเกิดขึ้นได้ทั่วโลก ในส่วนของประเทศไทย ก็มีรายงานผู้เกิดลิ่มเลือดอุดตันหลังการรับวัคซีนแอสตราฯ 23 ราย แต่คณะอนุกรรมการพิจารณาเหตุการณ์ไม่พึงประสงค์หลักการรับวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 พิจารณาแล้ว พบว่ามีผู้ป่วยลิ่มเลือดอุดตันที่เข้าข่ายอาจเกิดจากวัคซีน 7 ราย ในจำนวนนี้เสียชีวิต 2 ราย” นพ.ธงชัย กล่าว

อธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวถึงแผนการฉีดวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 ในประเทศไทย ว่า การดำเนินการฉีดวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 ดำเนินการตามคำแนะนำขององค์การอนามัยโลก โดยช่วงก่อนหน้านี้ ดำเนินการภายใต้ภาวะฉุกเฉิน ซึ่งขณะนั้นโรคโควิด-19 ถูกประกาศให้เป็นโรคติดต่ออันตรายที่ต้องเฝ้าระวัง การจัดหาวัคซีนจึงใช้งบประมาณของแผ่นดินและฉีดให้กับประชาชนฟรีเพื่อยับยั้งการระบาดของโรค อย่างไรก็ตามขณะนี้ สำหรับโรคโควิด-19 ในประเทศไทยถูกยกเลิกให้เป็นโรคติดต่ออันตรายแล้ว อีกทั้งการฉีดวัคซีนป้องกันโรคดังกล่าว ก็ไม่ได้ถูกบรรจุอยู่ในชุดสิทธิประโยชน์ จึงไม่ได้มีการจัดสรรให้ฟรีประชาชน แต่ก็อยู่ระหว่างการพิจารณา ว่าจะมีการฉีดให้กับกลุ่มที่มีความจำเป็น ได้หรือไม่ เช่น บุคลากรทางการแพทย์ กลุ่มเสี่ยง ยากไร้ ในลักษณะของความสมัครใจ เพราะอยากรู้ผู้สูงอายุซึ่งเป็นกลุ่มเสี่ยง ยังมีข้อมูลพบว่า ผู้สูงอายุที่ไม่ได้รับวัคซีนป้องกันโควิด-19 เป็นกลุ่มที่เสียชีวิตมากที่สุด

“วัคซีนที่มีการใช้ในประเทศไทยก่อนหน้านี้เป็นแบบ Emergency Use รัฐต้องจัดหามาฉีดให้กับประชาชน แต่ตอนนี้สถานการณ์คลี่คลาย โรคโควิด-19 ไม่ใช่โรคติดต่ออันตรายอีก การใช้วัคซีนจะต้องอยู่ในรูปแบบของวัคซีนในภาวะปกติ คือจะต้องเป็นวัคซีนที่ผ่านกระบวนการ ศึกษา ผลดีผลเสีย ผลกระทบต่างๆ และนำมาขออนุญาตขึ้นทะเบียนใช้ กับทางสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ซึ่งขณะนี้มีวัคซีนเพียงตัวเดียวที่ขึ้นทะเบียนใช้ในภาวะปกติในประเทศไทยก็คือ วัคซีน mRNA ของไฟเซอร์” นพ.ธงชัย กล่าว

เมื่อถามว่า ก่อนหน้านี้ก็มีรายงานข่าวว่าวัคซีน mRNA มีผลกระทบเกี่ยวกับเรื่องของการเปลี่ยนแปลงเซลล์ในร่างกาย นพ.ธงชัย กล่าวว่า วัคซีนที่มีการนำเข้ามาใช้ก่อนหน้านี้ เป็นการใช้ภายใต้ภาวะฉุกเฉิน ก็มีผลกระทบ ผลข้างเคียง ตัวนี้ก็จะเจอผลกระทบมากแถวอเมริกา