จากกรณีเหตุไฟไหม้กองกระดาษรีไซเคิลกลางแจ้ง ของบริษัทแห่งหนึ่งในพื้นที่ หมู่ที่ 6 ต.นาโคก อ.เมือง จ.สมุทรสาคร ซึ่งเป็นโรงงานผลิตและจำหน่ายเยื่อกระดาษ เคมีภัณฑ์ และพลาสติก บนเนื้อที่ 11 ไร่ ตั้งแต่เมื่อช่วงเย็นวาน (เวลาประมาณ 17.00 น.) ที่ผ่านมานั้น
เกี่ยวกับเรื่องนี้ เมื่อวันที่ 1 พ.ค. นายผล ดำธรรม ผวจ.สมุทรสาคร ที่ได้มอบหมายให้ ร้อยตรีประพันธ์ ถึกสกุล นายอำเภอเมืองสมุทรสาคร เป็นผู้บัญชาการเหตุการณ์ โดยมีการระดมรถน้ำดับเพลิงจากองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นต่างๆ ในจังหวัดสมุทรสาคร สมุทรสงคราม กรุงเทพฯ ราชบุรี และพื้นที่อื่นๆ เข้าระดมฉีดน้ำแบบโอบล้อม ก่อนนำรถแบ๊กโฮเข้ามาขุดคุ้ยกองกระดาษอัดแท่งให้แตกออกจากกัน ภายหลังสามารถควบคุมเพลิงไว้ได้แล้ว
ในส่วนของชุมชนด้านนอกโรงงาน ทาง “อบต.นาโคก” ได้จัดเจ้าหน้าที่ลงสำรวจผลกระทบที่เกิดกับชาวบ้าน ซึ่งเบื้องต้นมีบ้านเรือนประชาชนอยู่ 3 หลังคาเรือน ที่อยู่ห่างจากรั้วโรงงานออกไปประมาณ 1 กิโลเมตร อาจจะได้รับผลกระทบในเรื่องของกลิ่นและฝุ่นละออง
ด้าน ผู้จัดการโรงงาน เปิดเผยว่า โรงงานแห่งนี้ตั้งอยู่บนเนื้อที่โดยรวมทั้งหมดราวๆ 47 ไร่ แบ่งเป็นโซนตัวอาคารที่ใช้เป็นสำนักงานและกระบวนการผลิต 36 ไร่ ส่วนที่เหลืออีก 11 ไร่ เป็นพื้นที่โล่งภายนอกอาคารใช้สำหรับเก็บกองกระดาษรีไซเคิลที่รับซื้อมาจากประเทศในแถบยุโรป หลังจากนั้นก็จะนำมาคัดแยก แล้วนำมาปั่นเอาเยื่อกระดาษ แล้วอัดเป็นก้อนส่งไปขายยังประเทศต่างๆ เพื่อนำไปทำกระดาษประเภทต่างๆ ที่ใช้กันอยู่ในปัจจุบันนี้ โดยตรงส่วนที่เกิดเหตุเพลิงไหม้มีกระดาษรีไซเคิลทั้งหมด 26 กอง กองละประมาณ 1,000 ตัน แต่ละกองก็จะมีกระดาษรีไซเคิลอัดเป็นก้อนๆ ถูกมัดด้วยลวด แต่ละก้อนจะมีน้ำหนักตั้งแต่ 500–1,000 กิโลกรัม ซึ่งเหตุการณ์ไฟไหม้ครั้งนี้เกิดขึ้นตั้งแต่เมื่อช่วงเย็นวานที่ผ่านมา
ขณะนั้นเป็นช่วงเวลาที่พนักงานทำโอทีกันภายในตัวอาคารโรงงาน จึงไม่มีใครอยู่ตรงที่เกิดเหตุ แต่มีพนักงานเห็นว่ามีกลุ่มควันเกิดขึ้นตรงกองที่ 3 นับจากด้านหน้าเข้าไป ก็เลยช่วยกันนำถังดับเพลิงเข้าไปฉีดแล้ว แต่ไม่สามารถดับได้ จึงใช้หัวฉีดน้ำที่ทางบริษัทฯ ได้วางระบบไว้รอบทิศทาง ก็ยังไม่สามารถควบคุมเพลิงได้เช่นเดียวกัน เพราะว่ากระดาษเป็นเชื้อเพลิงอย่างดี และไฟเกิดจากทางด้านล่างของกองกระดาษ ประกอบกับมีลมพัดมาทำให้เปลวเพลิงลุกลามกระจายตัวไปอย่างรวดเร็ว
จากนั้นทางบริษัทฯ จึงได้แจ้งให้เจ้าหน้าที่ดับเพลิงของ อบต.นาโคก เข้ามาฉีดน้ำ แต่ก็ยังไม่สามารถควบคุมได้อยู่ดี ก็เลยต้องประสานขอรถน้ำดับเพลิงจากหลายพื้นที่เข้ามาช่วย ซึ่งสุดท้ายก็ไม่สามารถดับไฟลงได้ตั้งแต่เกิดเหตุจนถึง ณ ขณะนี้ และยังคงลุกลามไปทั่วบริเวณจนไหม้ทั้งหมด ส่วนมูลค่าความเสียหายคาดว่าไม่ต่ำกว่า 180–200 ล้านบาท.