เมื่อวันที่ 24 ก.ย. 64 เวลา 10.00 น. นายจุติ ไกรฤกษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม.) เป็นประธานพิธีเปิดการประชุมเชิงปฏิบัติการเทคนิคคิดบวกในการพัฒนางานอาสาสมัครและภาคประชาสังคม สำหรับประธานอาสาสมัครพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (อพม.) 17 จังหวัดในพื้นที่ภาคเหนือ พร้อมด้วยผู้แทนหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ สภาเด็กและเยาวชน องค์กรสาธารณประโยชน์ และสำนักงานพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัด (พมจ.) เพื่อรับฟังปัญหาอุปสรรคและมอบนโยบายการดำเนินงานแก่อาสาสมัครพัฒนาสังคมฯ ในพื้นที่ภาคเหนือ ณ โรงแรมเมย์ฟลาวเวอร์ แกรนด์ จังหวัดพิษณุโลก
นายจุติ กล่าวว่า กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) ในฐานะหน่วยงานภาครัฐที่มีภารกิจสำคัญในการขับเคลื่อนงานพัฒนาคนและสังคมให้มีคุณภาพ และสร้างเสริมภาคีเครือข่ายทุกภาคส่วนในการมีส่วนร่วมพัฒนาสังคมและประชาชนทุกกลุ่มเป้าหมาย อาทิ เด็ก เยาวชน ผู้สูงอายุ คนพิการ คนเร่ร่อนไร้บ้าน และผู้ด้อยโอกาส ให้มีความมั่นคงในชีวิต โดยไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง ตามนโยบายของรัฐบาล สำหรับอพม. และภาคประชาสังคม นับเป็นเครือข่ายสำคัญของกระทรวง พม. ที่มีบทบาทในการช่วยเหลือกลุ่มเป้าหมายที่ประสบปัญหาทางสังคมให้สามารถพึ่งพาตนเองและมีคุณภาพชีวิตที่ดีอย่างมั่นคง โดยกระทำการด้วยความสมัครใจและไม่หวังผลตอบแทน เพื่อประโยชน์แก่สังคมส่วนรวม อีกทั้งเปรียบเสมือนกระบอกเสียงให้แก่ประชาชนในการสะท้อนปัญหาจากระดับพื้นที่ นำไปสู่การกำหนดนโยบายและวางแผนการแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งนี้ กระทรวง พม. โดยกรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ (พส.) จึงได้จัดโครงการประชุมเชิงปฏิบัติการเทคนิคคิดบวกในการพัฒนางานอาสาสมัครและภาคประชาสังคม เพื่อพัฒนาศักยภาพ เพื่อพัฒนาศักยภาพประธานอาสาสมัครพัฒนาสังคมฯ 17 จังหวัดในพื้นที่ภาคเหนือ เป็นผู้มีความรู้ มีวิสัยทัศน์ และแนวคิดที่ทันสมัย สามารถพัฒนาวิธีการปฏิบัติงานให้เกิดประสิทธิภาพและประสิทธิผล จนสามารถยกระดับมาตรฐานการปฏิบัติงานให้มีความเชี่ยวชาญและเป็นมืออาชีพ โดยการส่งเสริมทักษะความรู้และแลกเปลี่ยนเรียนรู้จากเรื่องทักษะชีวิตคิดบวก กระบวนการทำงานเชิงรุกกับชุมชน กระบวนการคิดวิเคราะห์ การตัดสินใจ และการแก้ไขปัญหาอย่างสร้างสรรค์ กระบวนการทำงานร่วมกับภาคีเครือข่ายในพื้นที่ และการสร้างแรงจูงใจและความมั่นใจให้แก่ตนเอง
นายจุติ กล่าวเพิ่มเติมว่า กระทรวง พม. ได้รับข้อสั่งการจาก พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ว่าระบบราชการต้องปรับตัวให้ทันกับการเปลี่ยนแปลงของโลกและสังคม และระบบราชการต้องไม่ให้มีช่องว่างระหว่างราชการกับประชาชน กระทรวง พม. เราคิดแบบนักสังคมสงเคราะห์ทำงานแบบปิดทองหลังพระ เพราะเราสงสารเคสของเรา แม้ไม่มีใครเห็นว่าคุณทำความดี คุณก็ไม่เคยลดละที่จะทำความดี ไม่คิดหวังว่าใครจะเห็น เพราะการทำความดีเพื่ออยากให้สังคมมีความสุขนั้นคือการเห็นอกเห็นใจ เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ และมีเมตตาต่อกัน การเป็นผู้ให้เป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก งานอาสาสมัครจึงเป็นงานที่ยิ่งใหญ่ ถ้าไม่มีอาสาสมัคร กระทรวง พม. จะทำงานไม่สำเร็จ ในฐานะที่พวกท่านเป็นผู้นำประจำจังหวัด ผู้นำของชุมชน ผู้นำของเครือข่าย วันนี้ท่านต้องเป็นเสาต้นเล็กๆ ต้นหนึ่งให้กับสังคมให้ได้ ถ้าเสานิ่งจะทำให้สังคมตรงนั้นนิ่ง เสาที่มีพลังบวกจะมีไฟ ทำให้ชีวิตมีความหวัง และเราจะเดินหน้าทำความดีต่อไป ซึ่งตนเชื่อว่าทุกท่านจะสามารถทำให้เราเดินต่อไปได้ โดยไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง ต้องฟังเสียงข้างน้อยและเคารพเสียงข้างมาก พวกท่านต้องคิดให้ได้ว่าจะทำอย่างไร จะยอมรับซึ่งกันและกันทั้งข้อดีข้อเสีย วันนี้ ตนมาสื่อสารให้ทุกท่านเข้าใจว่า ตนเห็นความสำคัญของพวกท่านที่มีต่อความสำเร็จของกระทรวง พม. และความสำเร็จของชุมชน และขอขอบคุณทุกท่านด้วยใจจริง วันนี้เราเดินทางกันมาไกลพอสมควร แต่ปัญหาโควิด – 19 ทำให้เราหยุดชะลอไม่ได้ มีภูเขาลูกใหม่ที่เราต้องข้าม มีอุปสรรคที่ต้องเดินผ่านไป ต้องช่วยกันดับไฟ ช่วยกันหยุดสร้างความแตกแยก รับฟังความเห็นที่แตกต่าง เคารพซึ่งกันและกัน ทำงานร่วมกันเป็นทีม และเดินหน้าไปด้วยกันให้ได้