นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รมว.คมนาคม เปิดเผยภายหลังเป็นประธานการประชุมคณะกรรมการการบินพลเรือน (กบร.) ว่า ที่ประชุมได้มอบให้สำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย (กพท.) ประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อเตรียมการรองรับนโยบายการเปิดประเทศใน 120 วันของรัฐบาล ซึ่งในเดือน ต.ค.64 ถือเป็นการเปิดครั้งใหญ่ที่สุดทั้งระยะ​ (เฟส) 2 และ เฟส 3 รวม 26 จังหวัด รองรับการท่องเที่ยวทั้งของคนไทยและต่างชาติกระจายไปยังทุกภูมิภาคของประเทศประกอบกับเข้าสู่ฤดูกาลท่องเที่ยว (High Season) อีกด้วย โดยให้นำบทเรียนจากโครงการแซนด์บ็อกซ์ที่เปิดก่อนหน้ามาปรับปรุงแก้ไข และเร่งดำเนินการตามนโยบายการบินวิถีใหม่ (New Normal) ที่จะมีการนำเทคโนโลยีต่างๆ เข้ามาใช้ในกิจการการบินให้สามารถนำมาเริ่มใช้ได้โดยเร็ว

นายศักดิ์สยาม กล่าวต่อว่า นอกจากนี้ยังมอบให้ กพท. เป็นศูนย์กลางดำเนินการร่วมกับกระทรวงคมนาคม ในการประสานงานและเตรียมการเพื่อให้บุคลากรทางการบิน ซึ่งปฏิบัติงานสัมผัสใกล้ชิดโดยตรงกับผู้โดยสารได้รับการฉีดวัคซีนเข็มที่ 3 เพื่อให้มีความพร้อมสำหรับการปฏิบัติการบิน โดยเฉพาะในช่วงการเปิดประเทศในเดือน ต.ค.นี้​ อย่างไรก็ตามที่ประชุมยังได้แสดงความห่วงใยต่อการอยู่รอดของสายการบินสัญชาติไทย ซึ่งประสบปัญหาวิกฤติมาอย่างต่อเนื่อง จึงให้ กพท. เร่งรัดดำเนินการเพื่อให้มีข้อมูลวิเคราะห์เชิงลึกถึงผลกระทบต่อเศรษฐกิจมหภาคและการสูญเสียความสามารถด้านกิจการการบินของประเทศ โดยเฉพาะเมื่อสถานการณ์กลับมาเป็นปกติซึ่งคาดว่าจะอยู่ในช่วงปี 68 เป็นต้นไป เพื่อเสนอข้อมูลต่อคณะรัฐมนตรี​ (ครม.) พิจารณาให้ความช่วยเหลือสายการบินให้ได้รับเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำ (Soft Loan) โดยเร็ว

นายศักดิ์สยาม กล่าวอีกว่า ที่ประชุมได้เน้นย้ำให้  กพท. เร่งรัดดำเนินการแก้ไขข้อบกพร่องที่ได้รับจากการตรวจประเมินตามโครงการยกระดับมาตรฐานการกำกับดูแลด้านความปลอดภัยตามการประเมินความปลอดภัยการบินระหว่างประเทศ (IASA: International Aviation Safety Assessment) ขององค์การบริหารการบินแห่งสหรัฐอเมริกา​ (FAA) โดยมีเป้าหมายเดิมคือเพื่อยกระดับประเทศไทยกลับคืนสู่ Category 1 ภายในปี 64 ซึ่งการกลับสู่ Category 1 จะทำให้ไทยอยู่ในกลุ่มประเทศที่ระบบการกำกับดูแลความปลอดภัยการบินพลเรือนเป็นไปตามมาตรฐานของ FAA ซึ่งจะส่งผลดีให้สายการบินของไทยบินตรงไปยังสหรัฐอเมริกาได้ และทำการบินร่วมได้ตามปกติ (Code Sharing) รวมถึงยังจะส่งผลต่อการขอเพิ่มจำนวนเที่ยวบินจากไทยไปยังประเทศอื่นที่ยึดถือผลประเมินของ FAA ด้วย เช่น เกาหลีใต้เป็นต้น

นายศักดิ์สยาม กล่าวต่อว่า ที่ประชุมยังเห็นชอบแผนดำเนินการพัฒนางานด้านการบริหารข่าวสารการบิน​ (Aeronautical Information Management: AIM) โดยเน้นย้ำให้สำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย​ (กพท.) ดำเนินการตามระเบียบ กฎหมาย และมติคณะรัฐมนตรี​ (ครม.) พร้อมทั้งศึกษาตัวอย่างจากประเทศอื่นเป็นต้นแบบ เช่น​ สิงคโปร์ รวมถึงเร่งรัดกรอบการดำเนินงาน เพื่อให้เป็นไปตามมาตรฐานสากล มีหลักเกณฑ์ เงื่อนไขที่ครบถ้วน เพื่อให้การบริการข่าวสารการบินของประเทศดำเนินต่อไปได้อย่างมีประสิทธิภาพ และเพื่อเปิดให้มีนิติบุคคลทำหน้าที่เป็นผู้ให้บริการข่าวสารการบิน (AIS Provider) แทน กพท. 

นายศักดิ์สยาม กล่าวอีกว่า หลังจากนี้ตั้งแต่เดือน ต.ค.64 ถึงเดือน มี.ค.65 จะดำเนินการตามแผนฯ รวมถึงตรวจสอบออกใบรับรองให้นิติบุคคลเป็น AIS Provider แทน คาดว่าประมาณเดือน มิ.ย.65 กพท. จะสามารถส่งมอบ/ถ่ายโอนงานให้นิติบุคคลดำเนินงานได้ โดยตั้งเป้าหมายการพัฒนาต่อไปสู่การบริหารจัดการข่าวสารการบินทั้งระบบ(SWIM) ในปี 67 นอกจากนี้ที่ประชุมยังได้เร่งรัดให้ กพท. แก้ไขกฎระเบียบการอนุญาตโดรนขนาดใหญ่ (น้ำหนักเกิน​ 25 กิโลกรัมขึ้นไป) ที่มีวัตถุประสงค์การใช้งานเพื่อการเกษตร เนื่องจากก่อนหน้านี้มีผู้ยื่นขออนุญาตเข้ามาเป็นจำนวนมาก โดยภายในเดือน ก.ย.นี้ กพท. จะทยอยขอความเห็นชอบจาก รมว.คมนาคม ให้ผู้ยื่นขออนุญาตที่มีความพร้อมสามารถใช้โดรนเพื่อการเกษตรได้อย่างถูกกฎหมายภายในเดือน ต.ค.64.