มองไกล  เห็นใกล้   สัปดาห์นี้ “เมืองคอน” นครศรีธรรมราช ท้องทุ่งสังหารที่ยังมีอยู่จริง วัฒนธรรมความรุนแรง ย้อนแย้งยุคสมัย แม้โลกาภิวัตน์จะเปลี่ยนไป แต่ผู้คนที่นั่นยังคงใช้มัน คล้ายเครื่องตัดสินปัญหา จนยากเกินจะเยียวยา กลายเป็นปัญหาโลกแตกถึงทุกวันนี้ 

39 คดี ทั้งที่ยังไม่ทันผ่านค่อนปี ตัวเลขสถิติการเกิดเหตุอาชญากรรมรุนแรง หรือ ตามภาษาชาวบ้านเรียกกันอย่างคุ้นหูว่า “ฆ่ากันตาย” ในพื้นที่ จ.นครศรีธรรมราช พุ่งพรวดราวจรวดนำวิถี เฉลี่ยต้องมีผู้เซ่นสังเวย 5.5 ศพต่อเดือน สูงสุดในประเทศ หากยังขืนเป็นเช่นนี้ต่อไปอาจได้มีแตะหลักร้อยก่อนสิ้นปี นั่นคงไม่ใช่เรื่องดีเป็นแน่ 

จำแนกข้อมูลอย่างละเอียด พบสาเหตุส่วนใหญ่มาจากทะเลาะวิวาท 21 คดี ชู้สาว 2 คดี ยาเสพติด 1 คดี ส่วนที่เหลือยังคลุมเครือไม่ชัดเจนว่าฆ่ากันเพราะเหตุใด แต่คดีส่วนใหญ่มีอาวุธปืนเป็นทูตสังหาร ส่วนมีดพร้าในแบบฉบับ“บ่าวเมืองใต้”พอมีบ้างแต่ก็ประปราย 

เป็นที่รู้กันดีท้องทุ่งแห่งนี้ขึ้นชื่อลือชาเรื่องอิทธิพลมืดมาแต่ไหนแต่ไร ด้วยเหตุที่เป็นหัวเมืองใหญ่ ใครก็จ้องจะเข้ามากอบโกย ผู้มีอิทธิพลแฝงตัวเกือบทุกหัวระแหง จึงไม่แปลกที่จะกลายเป็นแหล่งบ่มเพาะ นักเลง ซุ้มมือปืน ขึ้นมาประดับวงการทุกยุคสมัยไม่เคยขาดแคลน 

บ้างก็ว่าเหตุที่สถิติทะลุเป้าเทียบเท่ายอดโควิดศบค. อาจเป็นเพราะบุคลิกโผงผาง ตรงไปตรงมา ปากว่าใจถึง ไม่มึงก็กูต้องตายไปข้าง ในแบบฉบับนักเลงลูกทุ่งแดนใต้ ผู้ไม่ยอมก้มหัวให้ใครเป็นทุนเดิม เพิ่มเติมตรงที่ว่าปืนผาหน้าไม้ สมัยนี้หาง่ายกว่าวัคซีน ทุกครัวเรือนมีไว้ครอบครอง  พร้อมประลองยุทธ์ห้ำหั่นกันได้ทุกเมื่อในยามที่เลือดขึ้นหน้า 

บ้าบิ่นตรงที่ว่าหลายคดีเกิดจากความขัดแย้งในกลุ่มเครือญาติ โดยเฉพาะปมมรดกทรัพย์สินที่ดิน ชนวนเหตุนำไปสู่การฆ่าแกง กลายเป็นเหตุนองเลือดที่เจือปนด้วยความโลภ ผิดแผกสังคมทั่วไปที่พี่น้องเครือญาติควรจะรักกันถ้อยทีถ้อยอาศัย 

แต่ก็อย่างว่าด้วยอุปนิสัย ใจร้อนพกปืน จะให้ฝืนยิ้มใส่กันก็คงลำบาก เสียเกียรติศักดิ์ศรีที่สืบทอดกันมารุ่นสู่รุ่น จะมัวมานั่งคุยเปิดใจกันให้เสียเวลาไปทำไม แม้จะสายเลือดเดียวกันก็เถอะ 

ดังโบราณว่า “เคลียร์กับคนตายดีกว่าพูดกับคนเป็น” ยิงก่อนค่อยเคลียร์ ใครพอมีเบี้ยก็วิ่งเต้นคดีไป  

น่าแปลกใจอยู่เหมือนกัน เมื่อวัฒนธรรม สังคม มันเปลี่ยนกันยาก แล้วเหตุใดเล่าจึงไม่นำเอากฎหมายเข้าแก้ไข เห็นอยู่ทนโท่ ปืนผาหน้าไม้เกลื่อนเมือง เถื่อนบ้างถูกบ้าง แต่เคยสงสัยไหมว่าทำไมจึงหามาครอบครองกันง่ายดายเช่นนี้ ทั้งที่รู้นี่คือทูตแห่งความตาย  เพียงปลายนิ้วสะกิดก็สามารถปลิดชีวิตได้ทันที  

ยิ่งเศรษฐกิจซบเซาเช่นนี้ โอกาสที่จะเกิดความขัดแย้งจนนำไปสู่อาชญากรรมความรุนแรงย่อมเพิ่มมากขึ้นตามมา ถึงเวลาแล้วหรือยังที่หน่วยงานภาครัฐต่างๆ ควรจะร่วมด้วยช่วยกัน หาวิธีป้องกันปัญหาไม่ลุกลามมากไปกว่านี้ เพราะลำพังหวังพึ่งตำรวจเพียงอย่างเดียวคงไม่ทันกาล

หลง หลังลาย