อาจารย์กิตติพงศ์ธนา นุตาลัย ที่ปรึกษากิตติมศักดิ์โรงเจฉื่อเต็กเจตั๊ว ตำบลหนองตีนนก อำเภอบ้านโพธิ์ จังหวัดฉะเชิงเทรา และผู้เชี่ยวชาญด้านศาสนพิธีและศิลปวัฒนธรรมจีน บอกเล่าให้ทราบถึงการบูชาองค์พระโพธิสัตว์กวนอิม บูชาอย่างไรให้ถูกต้อง บูชาแบบไหนถึงจะสัมฤทธิผล

“ศาสนิกชนที่นับถือองค์พระโพธิสัตว์กวนอิมในประเทศไทย ส่วนใหญ่จะไม่นิยมบริโภคสัตว์ใหญ่ แต่จริง ๆ แล้ว ข้อห้ามก็ไม่ได้มีกำหนดตายตัว ผู้ศรัทธาที่ปฏิบัติในสิ่งที่ถูกต้องตามทำนองคลองธรรม ก็เพียงพอต่อการบูชา ในการกราบไหว้ขอพร”

สิ่งสำคัญต้องเริ่มที่ “ใจ” หรือ “จิต” หากมี “จิตที่ตั้งมั่น” ร่วมกับ “ศรัทธา” แล้ว การกราบไหว้ย่อมสัมฤทธิผลทุกประการ ผู้ที่มีจิตตั้งมั่นระลึกถึงองค์พระโพธิสัตว์กวนอิมด้วยความศรัทธา ย่อมจะได้รับความสำเร็จและสมปรารถนา

อาจารย์กิตติพงศ์ธนา แนะนำเคล็ดลับการบูชาองค์พระโพธิสัตว์กวนอิม ณ วิหารอี่ ทง เทียน ไท้ ให้ประสบผลสำเร็จแบบที่ทำได้ไม่ยาก นั่นคือ “สงบ สบตา สัมผัส ภาวนา รับพร”

“สงบ” คือ การทิ้งเรื่องราวกลัดกลุ้มร้อนใจเพียงชั่วครู่ ดึงสติ สมาธิเข้าสู่จิตของเราให้นิ่ง

“สบตา” หมายถึง การสบตาองค์พระโพธิสัตว์กวนอิม มองให้เห็นถึงความเมตตาและกรุณาที่อยู่บนพระพักตร์ของท่าน

“สัมผัส” เป็นการสัมผัสไปที่องค์พระโพธิสัตว์กวนอิมแกะสลักจากหยกขาว รับพลังธรรมชาติ พร้อมอธิษฐานในใจ

“ภาวนา” สวดภาวนา งัน มา นี ปา มี ฮง/นะโมกวงซีอิมผ่อสัก/ขอนอบน้อมแด่พระโพธิสัตว์กวนอิม จำนวน 9 จบ

และจบด้วยการ “รับพร” หมายถึง การรับพรอันเป็นมงคลกลับบ้านด้วยความอิ่มเอมใจ

การที่องค์พระโพธิสัตว์กวนอิมที่ประดิษฐาน ณ วิหารอี่ ทง เทียน ไท้ ภายในสวนอุตสาหกรรมเครือสหพัฒน์กบินทร์บุรี จังหวัดปราจีนบุรีประทับยืนบนหลังพญามังกรเวียนว่ายกลางมหาสมุทรนั้น พญามังกรเปรียบได้กับความมั่งคั่งรํ่ารวย สายนํ้าเปรียบได้กับความลื่นไหลราบรื่น สำเร็จ รํ่ารวย ดังนั้นคนที่มากราบไหว้บูชาอธิษฐานแล้วต้องไม่ลืมลูบพญามังกรด้วย เพื่อให้ได้ทั้งสมความปรารถนาและรํ่ารวย

สำหรับองค์พระโพธิสัตว์กวนอิมประทับยืนบนหลังพญามังกร หรือเจ้าแม่กวนอิมปางยืนบนมังกร “นํ่าไฮ้กวนซีอิมผ่อสัก” พระโพธิสัตว์แห่งทะเลใต้ผู้คอยรับฟังคำขอพรเป็นปางที่เกิดขึ้นในสมัยที่พระแม่กวนอิมอยู่ในแดนสุขาวดี มีพญาเต่าและพญามังกรบำเพ็ญมานานจนสามารถแปลงเป็นคนได้ครั้งหนึ่งลูกชายพญามังกรซึ่งมีนิสัยเกเรได้แปลงเป็นคนมาเที่ยวเมืองมนุษย์ เกิดหลงรักหญิงสาวในหมู่บ้านและได้ล่วงเกินก่อนฆ่าทิ้ง ชาวบ้านจับได้จึงฆ่าลูกพญามังกร พญามังกรโกรธมากจึงอาละวาดทำให้นํ้าท่วม เมืองจีนเกิดความวุ่นวาย ข้าวยากหมากแพง เจ้าแม่กวนอิมเห็นว่าถ้าให้ผู้อื่นไปปราบพญามังกรอาจถูกฆ่า ดังนั้นเจ้าแม่กวนอิมจึงอาสาลงมาปราบ จนพญามังกรสำนึกผิดยอมให้เจ้าแม่กวนอิมเหยียบพญามังกรขึ้นไปจองจำหรือบำเพ็ญบนสวรรค์

ว่ากันว่า เจ้าแม่กวนอิมปางยืนบนมังกรนี้ เหมาะสำหรับการอธิษฐานขอให้ได้เลื่อนยศเลื่อนตำแหน่ง หรือขอให้ฝนตกต้องตามฤดูกาล นับเป็นพระโพธิสัตว์องค์สำคัญของพุทธศาสนามหายาน และมีผู้เลื่อมใสศรัทธาในพระโพธิสัตว์องค์นี้มากมายทั่วโลกแทบในทุกทวีปก็ว่าได้ ด้วยทรงมีเมตตาอเนกอนันต์ประการ ทรงพระกรุณาต่อสรรพสัตว์ผู้ตกทุกข์ได้ยากโดยไม่เลือกที่รักมักที่ชัง ด้วยเชื่อกันว่าด้วยพระญาณบารมีของพระโพธิสัตว์กวนอิมจะคุ้มครองปกปักรักษาและให้ประสบความสำเร็จในทุกประการ อีกทั้งปลอดภัยจากอุบัติเหตุทั้งหลายทั้งปวง สมหวังในสิ่งที่ตนพึงปรารถนา

องค์พระโพธิสัตว์กวนอิมประทับยืนบนหลังพญามังกรนี้แกะสลักจากหยกขาวชิ้นเดียวที่ได้มาจากเหมืองในป่าลึกของเมืองนับปีตรู ประเทศเมียนมา โดย อุทิศ ชัยลือกิจป็นผู้บริจาคเนื้อหยกขาว จากนั้นจึงชักลากด้วยช้างและรถยนต์ เดินทางผ่านเข้าสู่ประเทศจีนทางด่านมูเซไปยังกรุงปักกิ่ง เมื่อแกะสลักสำเร็จเป็นที่เรียบร้อยแล้ว จึงบรรทุกโดยรถยนต์ลงมายังเมืองท่าเทียนสิน เพื่อเดินทางโดยเรือเดินทะเล มาขึ้นที่ท่าเรือแหลมฉบัง ประเทศไทย ในวันที่ 14 สิงหาคม 2557

เฉพาะองค์พระโพธิสัตว์กวนอิมสูงถึง 2.62 เมตร หนัก 2.8 ตัน ฐานบัวสูง 0.45 เมตร หนัก 0.78 ตัน ฐานมังกรสูง 1.02 เมตร หนัก 4.95 ตัน และฐานแปดเหลี่ยมสูง 0.91 เมตร หนัก 5.9 ตัน แกะสลักโดยช่างชาวจีน โดยแกะเป็นองค์พระโพธิสัตว์กวนอิมปางประทานพรประทับบนมังกร ที่มือของพระองค์ถือแจกันประทานนํ้าอมฤต นํ้ามนต์ศักดิ์สิทธิ์ และกิ่งหลิว ไว้คอยชะล้าง ขจัดปัดเป่าทุกข์โศกโรคภัยของผู้ที่มากราบไหว้ขอพร และยังเป็นเสมือนนํ้าทิพย์ที่ชโลมกายใจให้สะอาดบริสุทธิ์ชุ่มฉํ่าด้วยนํ้าพระทัยแห่งความเมตตาที่ยากจะหาใดเปรียบได้

ในส่วนของตัววิหารจำลองแบบมาจาก “วิหารเทียนถาน” กรุงปักกิ่ง ที่จักรพรรดิราชวงศ์หมิง และราชวงศ์ชิง ใช้เป็นสถานที่บูชาฟ้า บวงสรวงเทพยดา เพื่อขอพรให้ฝนฟ้าตกตามฤดูกาล ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกทางวัฒนธรรมมาตั้งแต่ปี ค.ศ. 1998 ปัจจุบันได้กลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่โด่งดังแห่งหนึ่งของจีน

ด้วยความเชื่อที่ว่าวงกลมหมายถึงโลกมนุษย์ วิหาร “อี่ ทง เทียน ไท้” จึงออกแบบมาให้เป็นรูปทรงกลมตามอาคารต้นแบบ สร้างซ้อนขึ้นไป 3 ชั้น มุงด้วยกระเบื้องสีเขียว ที่หมายถึงความอุดมสมบูรณ์งอกงาม ภายในวิหารชั้นแรก มีเสา 12 ต้น เป็นตัวแทนของเดือนทั้ง 12 เดือน และ 12 ต้น อยู่ภายนอกสุดแทนความหมายของ 12 ชั่วยามในหนึ่งวัน

ฝ้าเพดานเป็นรูปแมนดาลา ศิลปะภาวนาที่มีที่มาจากทิเบต อันเป็นเครื่องหมายแห่งจักรวาล มีภาพวาดพระโพธิสัตว์กวนอิมปางต่าง ๆ โดยรอบภายในวิหาร ส่วนหลังคาของวิหารมุงด้วยกระเบื้องหลังคาแบบเซรามิก โซลาร์เซลล์ เพื่อผลิตพลังงานทดแทน นับเป็นวิหารแห่งแรกในประเทศไทยที่ใช้กระเบื้องโซลาร์เซลล์ รวมถึงติดตั้งสายล่อฟ้า ที่เปรียบเสมือนการรับพลังจากเบื้องบน เชื่อกันว่าคนที่มากราบไหว้ขอพรจะมีสุขภาพดี มีโชคลาภ ภายในตัวอาคารยังได้เสริมความวิจิตรตระการตาด้วยภาพเขียนลายต่าง ๆ ที่สื่อให้เห็นถึงแนวคิดเรื่องจักรวาล ภพภูมิ ความสมบูรณ์ และมั่งมี รวมถึงภาพองค์พระโพธิสัตว์กวนอิมปางต่าง ๆ

วิหาร “อี่ ทง เทียน ไท้” นอกจากเป็นสถานที่สำหรับกราบไหว้ขอพรของผู้มีความศรัทธาในองค์พระโพธิสัตว์กวนอิมแล้ว ชั้นใต้ดินของอาคารยังใช้เป็นสถานที่จัดกิจกรรมสาธารณกุศลเป็นครั้งคราวอีกด้วย และทุกวันที่ 25 ธันวาคมของทุกปี จะเป็นวันทำบุญประจำปี

ปัจจุบันองค์เจ้าแม่กวนอิมยังคงประทับอยู่ที่ศาลาชั่วคราวข้าง ๆ วิหาร เนื่องจากความใหญ่โตของอาคารและความกว้างของพื้นที่โดยรอบ ทำให้การก่อสร้างวิหารเจ้าแม่กวนอิม “อี่ ทง เทียน ไท้” ยังไม่แล้วเสร็จสมบูรณ์ โดยศาสนิกชนผู้ที่มีจิตศรัทธาสามารถร่วมบุญสร้างวิหารแห่งนี้เพื่อให้อานิสงส์นี้ส่งผลให้กับทุกบุญที่เกิดขึ้น ด้วยการร่วมบริจาคกระเบื้องหลังคาที่จะนำไปเรียงประกอบเป็นหลังคาทั้ง 3 ชั้น แต่ละชั้นของหลังคาจะมีการแบ่งอายุของผู้ร่วมบริจาคดังนี้ ชั้นบนสำหรับผู้บริจาคที่มีอายุ 70 ปีขึ้นไป ชั้นกลางสำหรับผู้บริจาคที่มีอายุ 40-69 ปี ชั้นล่างสำหรับผู้บริจาคที่มีอายุไม่เกิน 40 ปี โดยเปิดรับบริจาคผ่านทางมูลนิธิ ดร.เทียม โชควัฒนา ซึ่งผู้ร่วมบริจาคสามารถติดชื่อที่กระเบื้องได้ด้วย.

อธิชา ชื่นใจ