เมื่อวันที่ 2 ก.พ. มีรายงานว่า ระหว่างการสอบปากคำตำรวจ สน.ห้วยขวาง ผู้ต้องหาตั้งด่านรีดไถกลุ่มดาราสาวไต้หวัน โดยหนึ่งในผู้ต้องหามีสีหน้าที่เคร่งเครียด เบื้องต้นจากการสอบถาม ยังยืนว่าไม่ได้กระทำการดังกล่าว โดยอ้างว่าในวันดังกล่าว ตนอยู่ฝั่งตรงข้ามกับจุดเกิดเหตุ แต่ไม่ได้ติดกล้องบอดี้คาเมร่า แต่ก็ยืนยันความบริสุทธิ์ของตัวเอง
ทั้งนี้มีรายงานเพิ่มเติมด้วยว่า สำหรับการสอบปากคำผู้ต้องหาบางคนไม่มีทนายความส่วนตัว ทางกองบังคับการตำรวจนครบาล จึงได้แจ้งสภาทนายความจัดหาทนายสิทธิ ตามสิทธิมนุษยชนมาร่วมรับฟังการสอบสวนด้วย ขณะที่ผู้ต้องหาบางคนมีการว่าจ้างทนายความส่วนตัวมาร่วมรับฟังการสอบปากคำ และนำหลักทรัพย์เป็นโฉนดที่ดิน เพื่อเตรียมไปยื่นประกันตัวที่ศาลแล้ว
ต่อมา พล.ต.ต.อัฏธพร วงศ์ศิริปรีดา ผบก.น.1 พร้อมคณะพนักงานสอบสวนคลี่คลายคดี ได้ควบคุมตัวตำรวจทั้ง 6 นาย ขึ้นรถควบคุมผู้ต้องหาจำนวน 2 คัน โดยมีกำลังตำรวจสายตรวจจากกองบังคับการตำรวจนครบาล 1 จำนวน 12 นาย เดินประกบผู้ต้องหา ขึ้นรถกระบะควบคุมผู้ต้องหาไปขออำนาจศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลาง ฝากขังผัดแรกเป็นเวลา 12 วัน ซึ่งพนักงานสอบสวนได้คัดค้านการประกันตัวในชั้นศาล เนื่องจากเป็นคดีอุกฉกรรจ์มีอัตราโทษสูง ประกอบกับเกรงว่าหากได้รับการประกันตัวผู้ต้องหาทั้ง 6 คน จะไปยุ่งเหยิงกับพยานหลักฐานและหลบหนี
โทษถึงประหารชีวิต! แจ้ง 2 ข้อหาหนัก 6 ตำรวจห้วยขวาง รีดเงินดาราสาวไต้หวัน
อย่างไรก็ตาม สำหรับผู้ต้องหาทั้ง 6 คน ล่าสุดได้รับการยืนยันจากพนักงานสอบสวนแล้วว่า ผู้ต้องหาทั้ง 6 คน ถูกแจ้งข้อหา “ร่วมกันเป็นเจ้าพนักงานเรียกรับสินบนตามมาตรา 149 และร่วมกันเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ตามมาตรา 157”
จากการสังเกตพบว่าตำรวจทั้ง 6 นาย เดินก้มหน้าขึ้นรถควบคุมผู้ต้องหา และมีสีหน้าค่อนข้างวิตกกังวล และไม่ตอบคำถามสื่อมวลชนแต่อย่างใด แม้สื่อมวลชนพยายามสอบถามและเปิดโอกาสให้ผู้ต้องหาทั้ง 6 นาย ได้พูดแก้ต่างออกมา
ขณะที่ พล.ต.ต.ธีรเดช ธรรมสุธีร์ ผบก.สส.บช.น. ระบุว่า ในเบื้องต้นการฝากขังในวันนี้ จะมีการยื่นท้ายคำร้องคัดค้านการประกันตัว เนื่องจากมีอัตราโทษสูง หรืออาจเข้าไปยุ่งเหยิงกับพยานในคดี ซึ่งมีความเสี่ยงต่อการหลบหนี การสอบปากคำตลอดระยะเวลาในชั้นพนักงานสอบสวน ผู้ต้องหาทั้ง 6 คน ยังคงให้การปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา ซึ่งสวนทางกับในชั้นสืบสวนที่มีการให้การเป็นประโยชน์มากกว่านี้ แต่ในหลักฐานของฝ่ายสืบสวนที่มีการรวบรวมมาไว้ สามารถระบุได้อย่างชัดเจนว่าทั้ง 6 คน มีการร่วมมือกันรู้เห็นในการปฏิบัติหน้าที่การเรียกรับเงินในครั้งนี้ โดยมีตำรวจระดับยศ “ร.ต.ต.” เป็นผู้สวมเสื้อนอกเครื่องแบบ ซึ่งตัวผู้เสียหายได้มีการชี้ตัวชัดเจน จึงมีการแจ้งข้อหา “ร่วมกัน” กระทำความผิดตามมาตรา 149 และ 157
ส่วนประเด็นเรื่องเงินจำนวนดังกล่าว ฝ่ายสืบสวนได้มีการตรวจสอบพบข้อมูลบ้างแล้ว และมีการนำลงสำนวนในคดีเป็นที่เรียบร้อย แต่ยังไม่สามารถเปิดเผยได้ เพราะอาจมีการพาดพิงไปถึงบุคคลอื่นด้วย ต้องรอดการตรวจสอบ
ขณะที่ในส่วนของ พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผบ.ตร. ได้มีการกำชับให้การทำงานในคดีนี้ให้ดำเนินการอย่างตรงไปตรงมา หากนิ้วไหนร้ายต้องตัดทิ้ง โดยเฉพาะเมื่อเป็นเจ้าที่ตำรวจซึ่งเป็นผู้บังคับใช้กฎหมาย ต้องดำเนินการอย่างตรงไปตรงมาและเด็ดขาด
ส่วนในเรื่องของการจัดการกับบุหรี่ไฟฟ้า ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติได้สั่งการให้ทุกพื้นที่ทั่วประเทศ ดำเนินการกวดขันในเรื่องนี้กับทางผู้จำหน่าย ไม่ใช่เฉพาะในเขตพื้นที่ตำรวจนครบาลแต่อย่างเดียว.