เมื่อวันที่ 25 พ.ย. นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ อดีตนักการเมืองชื่อดัง ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กระบุว่า “จบภารกิจ แต่ยังไม่หมดหน้าที่” เสมือนหนึ่งผมอยู่ที่บ้าน ยืนที่หน้าต่าง แล้วมองเห็นขโมยกำลังปีนเข้าบ้านของเพื่อนบ้านผม

“ผมจึงต้องเดิมพันเดินหน้าชนด้วยทุกวิถีทาง มันเป็นบุญของบ้านเมือง ที่ผมได้มีผู้ใหญ่ที่เห็นประโยชน์ และสนับสนุนให้ผมจบภารกิจนี้ลงได้” แม้ว่าจะมีเพื่อนบ้านเลวๆ พยายามบอกว่า ไอ้หัวขโมยทำร้ายสังคมเป็นคนดี โดยตะโกนออกสื่อขัดขวางการแจ้งตำรวจของผม และหวังเพียงประโยชน์จากหัวขโมยนี้ มาแบ่งปันทรัพย์สินที่ได้มา แต่เชื่อว่า สังคมคงทราบ และดูออก

“หน้าที่ผมคือสังเกต และแจ้งตำรวจ เมื่อตำรวจมาจับขโมยได้ เป็นอันว่า “ภารกิจ” ของเพื่อนบ้านที่ช่วยกันดูแลได้จบไป แต่ “หน้าที่” ยังไม่หมด หากพบขโมยอีก ก็ต้องช่วยอีก” เรื่องทุนจีนสีเทา ได้ให้ข้อมูลตำรวจไปหมด และชี้ให้เห็นภยันตรายของมาเฟียทั้ง 5 กลุ่มแต่แรก มีบางเรื่องที่ผมไม่อาจพูดได้ แต่แนวทางผมชัดเจน และมุ่งไปที่เรื่อง “ยาเสพติด” ที่รับไม่ได้ และเชื่อว่า ไม่มีใครรับได้ในบ้านเมืองนี้

หากเราไม่ดูแลปกป้องซึ่งกันและกัน วันหนึ่งขโมยมันจะขึ้นบ้านเราเสียเอง การ “ล้ำเส้น” ไปถึงเรื่อง ยาเสพติด ยังมีเรื่องราวอีกมากมาย แต่ไม่ใช่ภารกิจของผม หากจะทำบ่อนก็ทำไป สังคมยังพอรับได้กับอิทธิพลเทาๆ ที่สังคมไทยเคยชิน แต่หากเป็นเรื่อง “ยาเสพติด” มันยอมกันไม่ได้

ดังนั้น ทุกคนมีหน้าที่ต้องช่วยกัน เพราะ “บ้านเมืองไม่ใช่ของใครคนใดคนหนึ่งเท่านั้น” มาเฟียจีนเหล่านี้ทำตามอำเภอใจ ด้วยการสนับสนุนของผู้ใหญ่ในบ้านเมือง จะหลับหูหลับตากับเรื่องอะไรก็ได้ แต่นี่เป็นยาเสพติด หากท่านยังปล่อยให้ทำ แล้วนอนหลับไม่รู้นอนคู้ไม่เห็น ก็ระยำบัดซบเต็มที

“คำสรรเสริญเยินยอ ตำแหน่งแห่งหน อำนาจวาสนา มีมาแล้วแต่ไม่ช้าก็หมดไป ไม่มีใครที่อยู่ตลอดกาล ที่สำคัญทำอะไรเอาไว้ก่อนไปต่างหาก ภารกิจจบ แต่หน้าที่ยังไม่หมด ในฐานะพลเมืองของสังคมนี้ จะกลับมาอีกครั้งเมื่อบ้านเมืองต้องการ”..

ขอบคุณภาพและข้อมูลจาก @ชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์