สำนักข่าวต่างประเทศรายงานจากกรุงวอชิงตัน ประเทศสหรัฐอเมริกา เมื่อวันที่ 14 ส.ค.ว่ากระทรวงสาธารณสุขของสหรัฐเผยแพร่รายงาน เมื่อวันเสาร์ ว่าเชื้อไวรัสโคโรนาเดลตา ยังคงเป็นสายพันธุ์หลักในประเทศ ส่งผลให้มีผู้ป่วยและผู้เสียชีวิตเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในอัตราทวีคูณ และทำให้สถิติผู้ป่วยในแผนกกุมารเวชตามโรงพยาบาลทุกแห่งในประเทศสูงขึ้นด้วย โดยจำนวนผู้ป่วยอายุน้อย ซึ่งต้องเข้ารับการรักษาตัวในโรงพยาบาลด้วยโรคโควิด-19 สะสมเพิ่มเป็นอย่างน้อย 1,902 คน เป็นสถิติสะสมสูงสุด และคิดเป็น 2.4% ของผู้ป่วยโรคโควิด-19 ที่ต้องรักษาตัวในโรงพยาบาลของสหรัฐ

ปัจจุบัน คณะกรรมการอาหารและยา ( เอฟดีเอ ) และศูนย์ควบคุมและป้องกันโรค ( ซีดีซี ) กำหนดเกณฑ์อายุขั้นต่ำของการเข้ารับวัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 ในสหรัฐ ไว้ที่ไม่ต่ำกว่า 12 ปี โดยให้เหตุผลว่า ยังไม่มีข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ที่เพียงพอประกอบการพิจารณาอนุมัติให้ผู้มีอายุน้อยกว่านั้น มีสิทธิ์ได้รับวัคซีน แต่หลายฝ่ายมองว่า กลายเป็นการทำให้เด็ก "เป็นกลุ่มเปราะบางโดยปริยาย" 
อย่างไรก็ดี บริษัทไฟเซอร์กำลังทดสอบทางคลินิก เพื่อเพื่อวิเคราะห์การใช้วัคซีนป้องกันโรคโควิด-19 ที่พัฒนาร่วมกับบริษัทไบโอเอ็นเทคของเยอรมนี ด้วยเทคโนโลยีเอ็มอาร์เอ็นเอ กับกลุ่มตัวอย่างซึ่งมีอายุน้อยกว่า 12 ปี โดยเพื่อความปลอดภัยของผู้เข้ารับการทดสอบซึ่งมีอายุน้อยมาก และเพื่อให้เป็นไปตามผลการประเมินความปลอดภัย ความอดทนและการตอบสนองของร่างกาย และระดับแอนติบอดีที่เกิดขึ้นหลังรับวัคซีน  ไฟเซอร์ตัดสินใจลดปริมาณวัคซีนที่จะฉีดให้กลุ่มตัวอย่างอายุ 5-11 ปี เหลือเพียงโดสเดียว โดสละ 10 ไมโครกรัม และลดลงอีกเหลือเพียง 3 ไมโครกรัม สำหรับกลุ่มตัวอย่างอายุ 6 เดือน ถึง 4 ปี 11 เดือน.

เครดิตภาพ : REUTERS