เมื่อเวลา 06.30 น. วันที่ 3 ส.ค. ที่ สน.ทองหล่อ นายสันธนะ ประยูรรัตน์ อายุ 62 ปี อดีตตำรวจสันติบาล พร้อมพวกและทนายความเดินทางเข้ามอบตัวกับ พ.ต.อ.ดวงโชติ สุวรรณจรัส ผกก.สน.ทองหล่อ หลังถูกศาลอาญากรุงเทพใต้ ออกหมายจับเลขที่ 362/2564 ในข้อหากระทำความผิดฐานร่วมกันเป็นอั้งยี่ ซ่องโจร ข่มขืนใจ จากคดีอุ้มรีดเรียกค่าไถ่ชาวไต้หวัน โดย นายสันธนะ มีอาการอิดโรยหลังจากที่ตนเองเพิ่งหายป่วยจากโรคโควิด-19 ส่วนทีมงานพนักงานสอบสวนและฝ่ายสืบสวนที่เกี่ยวข้อง ได้เตรียมตัวสวมชุด PPE ปฏิบัติหน้าที่กันทุกนาย เนื่องจากทราบข้อมูลว่า นายสันธนะ เพิ่งหายป่วยกลับจากโรงพยาบาลมาและยังอยู่ระหว่างการกักตัวต่อที่บ้านพัก
นายสันธนะ กล่าวทั้งน้ำตาและมีท่าทีคล้ายคนเหนื่อยหอบตลอดเวลาก่อนเข้าพบพนักงานสอบสวน ว่า ที่เดินทางมาวันนี้เพราะทางพนักงานสอบสวน สน.ทองหล่อ ได้ไปยื่นขออนุมัติหมายจับศาลในคดีที่เกิดขึ้นตั้งแต่ ช่วงเดือน มี.ค.ที่ผ่านมา ซึ่งตั้ง 4 เดือนแล้ว และมีการจับกุมผู้ต้องหาต่างชาติ รวมถึงผู้ต้องหาอื่นๆ อีกหลายคนเมื่อวันที่ 15 พ.ค.ที่ผ่านมา และตนเคยแถลงข้อเท็จจริงไปแล้วว่า ตนรู้จักกับชาวต่างชาติเหล่านั้น แต่ว่าไม่เคยมีส่วนเกี่ยวข้องในเรื่องของคดี จนคดีนี้สำนวนการสอบสวนจะครบฝากขังใน วันศุกร์ที่ 6 ส.ค.นี้ พนักงานสอบสวนจะต้องนำสำนวนส่งอัยการ ส่วนตนเองก็กำลังพักรักษาตัวเกี่ยวกับการติดโรคโควิด-19 มีใบเเพทย์ยืนยัน ซึ่งก็ยังอยู่ในระหว่างกักตัวจะครบกำหนดในวันศุกร์ที่ 6 ส.ค.นี้ เช่นกัน คดีเกิดมา 4 เดือนแล้ว อีก 4 วันพนักงานสอบสวนที่โรงพักนี้ก็กลั่นแกล้งตนขอหมายจับยัดข้อหาตนให้อยู่ในสำนวนคดีเดียวกัน เรื่องนี้ตนคิดว่าจะต่อสู้อย่างถึงที่สุด
นายสันธนะ กล่าวต่อว่า ตนทั้งเจ็บใจและทรมานกาย หลังต้องต่อสู้จนตัวเองรอดจากโรคโควิด ขอเรียนท่าน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีว่า ตนก็เป็นประชาชนคนหนึ่งในประเทศนี้ ท่านต้องรับผิดชอบกับการทำหน้าที่ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ทั้งผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล ทั้ง 2 คน ทราบดี เมื่อคืนนี้พอตนรู้ก็รีบโทรศัพท์หาก็ไม่มีใครรับสาย จึงฝากท่านนายเวรและคนใกล้ชิดไปว่า พวกท่านทราบข้อเท็จจริงแต่เเรกกันแล้วและเคยไปพูดคุยกันเป็นการส่วนตัวแล้ว ทำไมพวกท่านยังอยากจะมาเสี่ยงกับตน ก็ไม่เป็นไรตนพร้อมสู้ และจะขอวอนให้สังคม นักสิทธิมนุษยชน ผู้รู้ทางกฎหมาย ได้รับทราบว่าพวกเขาทำสิ่งใดต่อตนบ้าง
นายสันธนะ กล่าวด้วยว่า ไม่ว่าจะต้องการเอาคืนส่วนตัวหรือมีผู้หลักผู้ใหญ่บางคนไม่พอใจ อยากจะปิดบัญชี หรือไม่ว่าตนจะตกเป็นเป้าหมายทางการเมือง ตนก็พร้อมสู้ ขอใช้สิทธิยื่นประกันตัว ทั้งตัวเอง และอีกหลายๆ คนที่ติดตามตนที่ถูกออกหมายจับในคดีนี้ด้วย โดยใช้เงินสดและหลักทรัพย์มายื่น อยู่ในดุลพินิจของผู้ปฏิบัติว่าจะอนุญาตหรือไม่ ตนขอเรียนว่าคดีนี้ ตนให้ความร่วมมือมาตลอด เมื่อวันที่ 29 ก.ค.ที่ผ่านมาก็ได้ทำหนังสือมายื่นให้ ผกก.สน.ทองหล่อ ระบุชัดเจนว่า ตนป่วยโรคโควิด-19 ยังอยู่ระหว่างรักษาตัว แต่สุดท้ายก็โดนออกหมายจับถึง 4 ข้อหา เมื่อตนได้รับอิสรภาพจะดำเนินการฟ้องผู้ที่เกี่ยวข้องทั้งหมด ทั้งสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล และ พ.ต.ท.ศุภชัย หาญคำหล้า รอง ผกก.(สอบสวน) สน.ทองหล่อ ที่ทุจริตและประพฤติมิชอบ ด้วยการกลั่นแกล้งตนในครั้งนี้
ทั้งนี้มูลเหตุแห่งคดีนี้ สืบเนื่องจากเมื่อวันที่ 15 พ.ค.ที่ผ่านมา ตำรวจกองปราบปราม ได้ร่วมกันจับกุมตัว นายเจเรมี่ แมนเซสเตอร์ และ นายลูอิส ซิสกิน สองผู้ต้องหาสัญชาติอเมริกัน และผู้ต้องหาชาวไทยอีกหลายคน ในข้อหาร่วมกันเรียกค่าไถ่, พยายามฆ่า, อั้งยี่, ซ่องโจร, ข่มขืนใจผู้อื่นให้กระทำการ ไม่กระทำการใดโดยใช้กำลังประทุษร้ายและมีอาวุธฯ หลัง นายเวน ยู ชุง ชาวไต้หวันซึ่งเป็นตัวแทนนักธุรกิจจำหน่ายถุงมือยางทางการแพทย์เข้าแจ้งความกับตำรวจ ว่า ถูกอุ้มไปรีดค่าไถ่ เมื่อวันที่ 28 มี.ค.ที่ผ่านมา ชนวนเหตุเกิดจากการที่ นายลูอิส หนึ่งในผู้ต้องหาทำธุรกิจซื้อขายถุงมือ กับบริษัทของ นายเวน ยู ชุง แล้วเกิดความเสียหายจำนวนเงินถึง 93 ล้านบาท
โดยวันเกิดเหตุขณะที่ นายเวน ยู ชุง นั่งรับประทานอาหารอยู่ที่ร้านแห่งหนึ่งย่านทองหล่อ ได้ถูกคนร้ายร่วมกันจับใส่กุญแจมือ พาตัวไปยังห้องพักรายวันที่อยู่ห่างไป 200 เมตร ก่อนจะใช้โทรศัพท์ติดต่อไปเรียกค่าไถ่จากนายจ้างเป็นเงิน 2 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และเรียกค่าไถ่จากญาติของ นายเวน ยู ชุง อีก 1 ล้านดอลลาร์สหรัฐ แต่ญาติๆ เห็นท่าไม่ดีจึงติดต่อไปขอความช่วยเหลือยังสถานทูตให้ประสานตำรวจ กลุ่มผู้ต้องหาจึงยอมปล่อยตัว จนนำมาสู่การออกหมายจับผู้ร่วมก่อเหตุจำนวนหลายคน ซึ่งในส่วนของ นายสันธนะ นั้นทราบข้อมูลว่า เจ้าตัวกับพวกรวม 7 คน ถูกออกหมายจับคดีนี้ มีผู้ต้องหาที่เดินทางมา สน.ทองหล่อ รวม 5 คน อีก 1 คนหลบหนีติดต่อไม่ได้ และ อีก 1 คน ป่วยอยู่ระหว่างรักษาอาการโรคโควิด.