ฟุตบอลภายในประเทศ เลื่อนแค่ “รีโว่ ลีกคัพ” วันที่ 1 ธ.ค. นอกนั้น เตะกันตามปกติ โดยรีโว่ ไทยลีก ฟัดกันถึงวันที่ 27-28 พ.ย.

ถ้าไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง กำหนดการก็จะเป็นแบบนี้ 29 พ.ย. นักเตะตรวจโควิด (RT-PCR), 30 พ.ย. ฟังผล หากเป็นลบ จะซ้อมช่วงเย็น, 1 ธ.ค. เช้าเดินทางไป สิงคโปร์, ตรวจโควิด (RT-PCR), 2 ธ.ค. รอผลตรวจ ถ้าจบเร็วก็อาจซ้อมวันนั้นเลย, 3 ธ.ค. ซ้อม, 4 ธ.ค. ออฟฟิเชียล เทรนนิ่ง

และ 5 ธ.ค. เตะนัดแรกกับ ติมอร์เลสเต

สรุปแล้ว เราจะมีเวลาซ้อมเต็มที่ 4 ครั้ง ก่อนเตะนัดแรก ไม่เกินจากนี้

เอเอฟเอฟ และ สิงคโปร์ กำหนดให้รีบส่งรายชื่อนักเตะก่อนวันที่ 24 พ.ย. เพราะต้องมีกระบวนการด้านสาธารณสุข ดังนั้นแน่นอนว่า มาโน โพลกิง กุนซือใหญ่ ต้องตัดตัวก่อนที่จะเรียกมาซ้อม

รายชื่อนักเตะที่ลงทะเบียนไว้คือ 70 คน แต่ส่งชื่อได้ 30 คน จากนั้นแต่ละนัด ส่งชื่อ 23 คน สามารถเปลี่ยนชื่อได้ทุกนัด

ดังนั้น มาโน โพลกิง ต้องตัดทิ้ง 40 คน โดยที่ไม่ต้องมาดูฟงดูฟอร์มตอนซ้อมกันก่อนหล่ะ

จริงๆ ก็เป็นเรื่องปกติ เพราะ 70 คน ที่ประกาศมา คือชื่อเบื้องต้น แจ้งกันก่อน นักเตะจะได้ไปเตรียมตัว ใครพาสฟอร์ตหมดอายุ ใครยังไม่รับวัคซีนตามที่กำหนด จะได้ไปจัดการ

ยังไงก็ไม่ได้ซ้อมทั้ง 70 คน อยู่แล้ว แต่หากเรามีเวลา อย่างน้อยก็อาจจะเรียกมาสัก 35-40 คนที่อยู่ในข่าย มาซ้อม มาลงสนาม มาลองเล่นตามแผนของ มาโน ว่าใครทำได้ ทำดีแค่ไหน แล้วค่อยหั่น

แต่เมื่อไม่มีเวลาแล้ว ก็ต้องมาโน ก็ต้องอาศัย “มโน” เอาว่า ใครจะเล่นได้ตามแทคติกของเขาได้ดี โดยดูผลงานจากไทยลีกเป็นหลัก

ดูกระท่อนกระแท่น ตามที่มีข่าวมาตลอด จนน่าเป็นห่วง

อย่างไรก็ตาม ยังดีที่รายการนี้ ส่งชื่อได้ก้อนใหญ่ 30 คน ซึ่งน่าจะเป็นประโยชนสำหรับทีมที่เวลาซ้อมน้อยอย่างไทย อย่างน้อยก็หว่านเอานักเตะไปได้พอสมควร

คาดว่า มาโน คงเน้น คนมีประสบการณ์ ทำงานให้ท่านได้ เพราะคงไม่มีเวลาลองเยอะ ตัวใหม่ ตัวเซอร์ไพร้ส์ คงไม่โผล่แยะ

นักเตะชุดใหญ่ไทย อย่าง ชนาธิป สรงกระสินธ์, ธีรศิลป์ แดงดา, ธีราทร บุญมาทัน, สารัช อยู่เย็น, ฐิติพันธ์ พ่วงจันทร์, ทริสตอง โด, พิธิวัตต์ สุขจิตธรรมกุล คงมามีชื่อ เช่นเดียวกับดาวรุ่ง ที่ขึ้นชั้นแล้ว อย่าง สุภโชค สารชาติ, ศุภชัย ใจเด็ด, ศุภณัฏฐ์ เหมือนตา, เอกนิษฐ์ ปัญญา, ศศลักษณ์ ไหประโคน ฯลฯ

รวมกับตัวที่เล่นต่างชาติ “กัน” ธนวัฒน์ ซึ้งจิตถาวร รวมทั้ง โจนาธาน เข็มดี ที่ว่าจะถูกเรียกตัวด้วย

ในสภาพที่ใส่แทคติกกันไม่ทัน ยังไงต้องเน้นนักเตะที่ความสามารถเฉพาะตัวดี เข้าใจเกมไว้ก่อน

โชคดีอีกอย่างคือ นัดเปิดสนามของเรา จะเจอทีมอ่อนที่สุดในกลุ่มอย่าง ติมอร์เลสเต ตีซะว่าเป็นเกมอุ่นเครื่องใหญ่ไปเลยก็ได้ (แต่อย่าดันพลาดมาแล้วกัน)

แม้นัดนั้นไม่มี ชนาธิป, ธีราทร, ศศลักษณ์ ที่มาไม่ทัน ก็ไม่น่ามีปัญหา

ได้ลองของ ชิมลางกันก่อน 1 เกม กับเวลาซ้อมก่อนถึงนัด 2 กับ เมียนมา ที่เว้นไปเตะวันที่ 11 ธ.ค. เท่ากับเราจะมีเวลาอีก 5 วัน

ถือว่าเวลาปรับจูนมีเยอะพอสมควรเลยทีเดียว ที่จะทำให้ช้างศึกลงตัวขึ้นเรื่อยๆ

และด้วยระยะเวลาทัวร์นาเมนต์ที่ยาวนาน กว่าจะเข้ารอบรองฯ (ถ้าได้เข้า) ก็เท่ากับว่า เราได้รวมตัวกันมาแล้วกว่า 2 สัปดาห์ ถือว่ามากเพียงพอ

แล้วหากทีมไทย มากันแบบเต็มทัพ อย่างที่จินตนาการไว้ แล้วหลุดไปถึงรอบตัดเชือก ด้วยศักยภาพนักเตะก็จะทำให้แกร่งกว่าเดิม

ไม่บ่อยครั้งนักที่ทีมไทย ไปแข่งระดับอาเซียน แล้วไม่ใช่ตัวเต็ง ซึ่งหนนี้ต้องยอมรับว่า เวียดนาม คือ เต็ง 1

ทว่าหาก ช้างศึกฟูลทีม แล้วไปเจอ เวียดนาม รอบรองฯ หรือ รอบชิงฯ ผมว่าเราไม่เป็นรอง ออกจะเหนือกว่าด้วยซ้ำ

คิดแล้วก็ยิ่งอยากเห็นทีมชาติไทยทัพใหญ่ จัดเต็ม ฟัดกับ ดาวทอง ให้รู้แล้วรู้รอด ว่าใครเจ๋งกว่าในย่านนี้

แหม พิมพ์ไปพิมพ์มา มาได้สติ ยังไงก่อนอื่น ลุ้นตัวนักเตะก่อน ว่าให้ได้แบบเต็มเหนี่ยวไปเลยพี่ เต็มที่ไปเลยเธอ

เพราะหากตัวเจ๋ง ตัวเก่ง ถอนกันเป็นว่าเล่น ต่างคนต่างเจ็บ ต่างคนต่างติดภารกิจ สงสัยที่พิมพ์ไว้ข้างบนคงไม่แคล้ว “ฝันสลายสายมโน” แหงๆ.

*** วุฒินล ***