ใกล้เข้ามาแล้ว สำหรับช่วงเวลาที่พ่อแม่หลายๆ คนเกิดความกังวล อย่างช่วงการเปิดภาคเรียนในวันที่ 1 พ.ย. 64 ที่จะถึงนี้ แต่บางครอบครัวก็อาจจะเป็นกังวลได้ เนื่องจากลูกหลานยังไม่ได้รับการฉีดวัคซีนป้องกันเชื้อไวรัสโควิด-19 อีกทั้งความกังวลที่ว่า.. ยังรวมไปถึง “การฉีดวัคซันโควิด-19” ว่าอันที่จริงแล้ว สำหรับเด็กๆ จะมีผลข้างเคยงอย่างไร? ปลอดภัยหรือไม่หากจะฉีด?
โดยในเรื่องดังกล่าวนี้ ทางด้าน พญ.เพ็ญรวี ขาวสำลี กุมารแพทย์ ประจำโรงพยาบาลพริ้นซ์ ศรีสะเกษ ได้ให้ข้อมูลเอาไว้ว่า การใช้ชีวิตของเด็ก ๆ ที่โรงเรียน ส่วนใหญ่แล้วก็มักจะรวมกลุ่มกันทำกิจกรรมต่าง ๆ อาจจะขาดความรอบคอบในการดูแลตัวเอง โอกาสที่จะได้รับเชื้อและแพร่กระจายในกลุ่มเด็กก็มีมากขึ้น
“โดยจากสถิติพบว่าเด็กไทยติดเชื้อร้อยละ 13.05 ของผู้ติดเชื้อทั้งประเทศ และพบอัตราการเสียชีวิตร้อยละ 0.01 ดังนั้น แพทย์จึงแนะนำให้เด็กและวัยรุ่นที่มีความเสี่ยง จำเป็นต้องได้รับวัคซีนป้องกันโควิด-19”
วัคซีนที่นำมาใช้ในปัจจุบัน จำนวน 3 ชนิด ดังต่อไปนี้
- วัคซีนเชื้อตาย (Inactivated Vaccine) ได้แก่ วัคซีนของบริษัทซิโนแวค และซิโนฟาร์ม
- วัคซีนชนิดไวรัสเวกเตอร์ (Viral Vector Based Vaccine) ได้แก่ วัคซีนของบริษัทแอสตราเซเนกา, จอห์นสันแอนด์จอห์นสัน และสปุตนิก
- วัคซีนชนิด mRNA (mRNA Based Vaccine) ได้แก่ วัคซีนของบริษัทไฟเซอร์ และโมเดอร์นา
ในปัจจุบันมีเพียงวัคซีนชนิด mRNA ทั้งของบริษัทไฟเซอร์ และโมเดอร์นา เท่านั้นที่มีข้อมูลด้านประสิทธิภาพในการป้องกันโรคและความปลอดภัยในเด็กและได้รับการรับรองขึ้นทะเบียนโดยองค์การอาหารและยาแห่งประเทศไทย รวมถึงมีคำแนะนำจากราชวิทยาลัยกุมารแพทย์แห่งประเทศไทย ให้ใช้ในเด็ก อายุตั้งแต่ 12 ปีขึ้นไปได้
“สำหรับผลข้างเคียงของวัคซีน mRNA พบว่าในเด็กและวัยรุ่นมีความปลอดภัยสูง” ผลข้างเคียงมีเพียงเล็กน้อยถึงปานกลาง และหายภายใน 1-2 วัน ได้แก่ เจ็บในตำแหน่งที่ฉีด อ่อนเพลีย ปวดศีรษะ และมักพบหลังการฉีดเข็มที่ 2 รวมทั้งไม่มีรายงานผู้เสียชีวิต
อย่างไรก็ดี มีข้อมูลพบว่าในเด็กชายช่วงอายุระหว่าง 12-17 ปี มีรายงานการเกิดภาวะกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ ประมาณ 60 ราย จาก 1,000,000 โด๊ส ขณะที่เด็กหญิงช่วงอายุเดียวกันจะพบได้น้อยกว่ามาก ประมาณ 10 ราย ซึ่งเมื่อเข้ารับการรักษาทุกคนล้วนหายกลับมาใช้ชีวิตเป็นปกติดี
ส่วนข้อมูลวัคซีนเชื้อตายนั้นยังอยู่ในระหว่างการศึกษาในต่างประเทศ และรอพิจารณาขึ้นทะเบียนโดยองค์การอาหารและยาไทย คงต้องรอติดตามข้อมูลต่อไป
ดังนั้น เพื่อป้องกันเด็กๆ ในวัยเรียน ลดความเสี่ยงในการติดเชื้อ ครอบครัวและโรงเรียนควรมีแนวทางเตรียมตัวให้พร้อม ไม่ว่าจะเป็นการเน้นย้ำให้ความรู้เกี่ยวกับโรคโควิด-19 และความสำคัญต่อการสวมหน้ากากอนามัย หรือผ้าปิดปาก การเว้นระยะห่าง ล้างมือสม่ำเสมอ รวมไปถึงผู้ปกครองและคุณครูจะต้องทำเป็นตัวอย่างให้เด็ก ๆ เกิดความเข้าใจ และให้ความร่วมมือในการปฏิบัติตัวเป็นอย่างดี…
…………………………………………………………………………………………
คอลัมน์ : Healthy Clean
โดย “พรรณรวี พิศาภาคย์”