ณ เวลานี้ ได้เห็นโฉมหน้าค่าตาบรรดา “ครม.เศรษฐา 1” กันไปบ้างแล้ว แม้จะยังไม่ลงตัวแบบครบถ้วน 100% แต่เชื่อได้ว่า รายชื่อที่กระเซ็นกระสายกันออกมา คงไม่ได้ผิดแปลกแบบพลิกฝ่ามือใด ๆ

สิ่งหนึ่งที่เห็นได้ชัดเจนตามกระแสข่าวก่อนหน้านี้ ว่าไม่มีซ้ำกระทรวง ก็เป็นเฉกเช่นนั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง กระทรวงหลัก ๆ ที่พรรคร่วมรัฐบาลได้วางเป้าหมายไว้ก่อนหน้านี้

แม้บางพรรคการเมือง อาจยื่นเงื่อนไขขอกระทรวงเดิม แต่คนที่เข้ามาคุม ก็เปลี่ยนไป แม้สุดท้ายแล้วเชื่อได้ว่าทุกอย่างที่ทำมาต้องสานต่อ เพื่อ “นายทุน” ก็ตาม

แต่เพื่อให้ประเทศเดินหน้าต่อไปได้ “หมากเกมนี้” ก็ต้องเดินหน้าต่อไป แบบเสียไม่ได้ !!

จะอย่างไรก็ตาม ก็เชื่อได้ว่ารัฐบาล “เศรษฐา 1” ยังต้องเดินตามคำมั่นสัญญาที่ให้ไว้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการแจกเงินดิจิทัล 10,000 บาท ที่เป็นนโยบายของพรรคเพื่อไทยที่ชูโรงไว้ว่าเป็นหนึ่งในนโยบายที่ “ทำทันที”

การแจกเงินไฮเทค ครั้งนี้ อาจไม่ทันเป็นของขวัญปีใหม่ฝรั่ง แต่หากทุกอย่างไม่สะดุดกึก ก็คงได้เห็น…เป็นของขวัญปีใหม่ไทยแน่ ๆ

ไม่เพียงเท่านี้…ยังมีอีกหลายนโยบายที่จะดำเนินการทันที ทั้งเรื่องของการ “ลดรายจ่าย เพิ่มรายได้” อย่าง การลดค่าไฟทันที การพักหนี้เกษตรกร 3 ปี การลดดอกเบี้ยเงินกู้ส่วนบุคคล การพักหนี้ให้ธุรกิจเอสเอ็มอี การขึ้นค่าแรง 600 บาท

ที่สำคัญ!! ยังมีนโยบายสำคัญด้านการท่องเที่ยว เช่นมาตรการฟรีวีซ่า ให้กับนักท่องเที่ยวจีน เพื่อเป็นการอำนวยความสะดวก หลักจากในช่วงก่อนเกิดโควิด นักท่องเที่ยวถือเป็นกลุ่มนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางมาไทยมากที่สุด

เช่นเดียวกับการเดินหน้าปรับปรุงสนามบินทั่วประเทศ ให้เพียงพอรองรับนักท่องเที่ยวที่กำลังจะพาเหรดเดินทางมาเที่ยวเมืองไทยในช่วงที่กำลังจะเข้าสู่ช่วงไฮซีซั่นในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า

นโยบายเหล่านี้เป็นเพียงส่วนหนึ่งเท่านั้น!! เอาเข้าจริงยังมีอีกมากมาย เนื่องด้วยเป็นรัฐบาลผสม จะมุ่งเน้นเฉพาะพรรคเพื่อไทย ก็ไม่ใช่!! ลำพังเพียงแค่ 25 นโยบายของพรรคเพื่อไทย ก็ใช้วงเงินมากถึง 1.81 ล้านล้านบาท เข้าไปแล้ว

แม้ไม่ใช่การใช้เพียงแค่ปีเดียว หรือครั้งเดียวก็ตามทีเถอะ แล้วยังมีนโยบายของพรรคร่วมรัฐบาลอีก ท่ามกลางวงเงินงบประมาณที่มีอยู่อย่างจำกัด

ต่อให้พรรคเพื่อไทยประกาศว่าการเข้ามาบริหารประเทศในปีแรก จะทำให้การจัดเก็บรายได้เพิ่มขึ้น 1.8 แสนล้านบาทและเตรียมนำไปใช้กับนโยบายการแจกเงินดิจิทัล 10,000 บาท รวม ๆ กับเงินงบประมาณที่รีดไขมันมาจากส่วนที่ไม่จำเป็น หรือส่วนเกินก็ตาม

แต่ ณ เวลานี้ เศรษฐกิจประเทศไทยไม่ได้โรยด้วย “กลีบกุหลาบ” ปัญหาใหญ่มาจากเศรษฐกิจโลกที่กำลังถดถอย ทำให้รายได้หลักของประเทศ อย่างการส่งออกนั้นอยู่ในอาการ “วิกฤติ”

เพราะตลอด 10 เดือนที่ผ่านมานับตั้งแต่ต.ค. ปี 65 จนถึงเดือนก.ค.ที่ผ่านมา การส่งออกไทยยังติดลบต่อเนื่อง และยังคาดการณ์กันว่าตลอดทั้งปีนี้การส่งออกอาจไม่ขยายตัวไปจนถึงขั้นติดลบที่ 1-2%

นอกจากนี้ยังมีเรื่องของการท่องเที่ยวที่แท้จะเป็นไปตามเป้าหมายในส่วนของจำนวนนักท่องเที่ยว แต่ในเรื่องของรายได้ที่มาจากการใช้จ่ายของนักท่องเที่ยวกลับไม่ได้อย่างเต็มที่ ด้วยเหตุนี้ จึงทำให้ความหวังจะนำรายได้จากการท่องเที่ยวมาช่วยพยุงเศรษฐกิจนั้นทำได้ไม่เต็มที่นัก

Free photo closeup chinese plant healthy ripe

ไม่เพียงเท่านี้!! ด้วยผลกระทบจากภัยแล้งอันเนื่องมาจากสถานการณ์เอลนีโญ แม้ทำให้ราคาผลผลิตด้านการเกษตรแพงขึ้นดีขึ้น แต่ก็ส่งผลกระทบมาถึงผู้บริโภคในประเทศ โดยเฉพาะราคาข้าวที่แพงขึ้นเป็นประวัติการณ์

ที่สำคัญไปกว่านั้น เวลานี้ คนไทยทั้งประเทศ ยังอยู่ในภาวะติดกับดักหนี้ครัวเรือน ที่กำลังเพิ่มสูงขึ้น จนทำให้การใช้จ่าย หรือกำลังซื้อของผู้บริโภคนั้นชะงัก แม้หนึ่งในนโยบายทำทันทีของพรรคเพื่อไทย คือเรื่องของการพักหนี้ แต่ก็คงไม่พอที่จะทำให้ปัญหาหนี้ของประเทศผ่อนคลายไปได้

เพราะอย่าลืมว่า ณ เวลานี้ หนี้ครัวเรือนปาเข้าไปกว่า 16 ล้านล้านบาท เข้าไปแล้ว ต่อให้การขยายจีดีพีใหญ่ขึ้นที่ปีละ 5% ในช่วงที่เป็นรัฐบาล ซึ่งจะทำให้สัดส่วนหนี้สาธารณะ หรือหนี้ครัวเรือนนั้นลดลงไป

แต่ในความจริงแล้ว… การลดหนี้ โดยการเพิ่มรายได้ โดยเฉพาะรายได้ที่มาจากภาคท่องเที่ยว ตามที่ “นายกฯนิด” กล่าวไว้ในการลงพื้นที่พังงา เมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา คงไม่เพียงพอ!!

เอาเป็นว่า… ทุกวันนี้ ประเทศยังคงต้องเดินหน้าต่อไป ก็คงต้อง “ให้เวลา” กับรัฐบาลเศรษฐา 1 ในการพิสูจน์ฝีมือให้ประชาชนคนไทยทั้งประเทศได้เห็น…

……………………………………….
คอลัมน์ : เศรษฐกิจจานร้อน
โดย “ช่อชมพู”