สถานการณ์การเมืองกำลังร้อนแรงสุดขั้ว!! แต่…สุดท้ายแล้วนายกรัฐมนตรีคนที่ 30 จะไปออกที่ใคร ก็ต้องจับตาดูกันต่อไป ว่ากันว่า…ผ่านพ้นการโหวตครั้งที่ 2 ในวันที่ 19 ก.ค.นี้ไปแล้ว ก็คงอีกไม่นาน ที่จะได้เห็นโฉมหน้านายกฯคนใหม่ต่อไป
เพราะอย่าลืมว่า…ผ่านมาแล้วกว่า 2 เดือน การจัดตั้งรัฐบาลชุดใหม่ยังไม่สามารถเกิดขึ้นได้ หากยังปล่อยให้สถานการณ์การเมืองยืดเยื้อต่อไปเช่นนี้ เชื่อว่าไม่เป็นผลดีกับใครแน่นอน โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับประชาชนคนไทย
ด้วยความล่าช้า ด้วยความยืดเยื้อที่เกิดขึ้น ก็สร้างความไม่สบายใจกับบรรดาภาคเอกชนเป็นจำนวนไม่น้อย จนต้องส่งเสียงสะท้อนออกมาดัง ๆ ว่าใครจะเข้ามาเป็นนายกรัฐมนตรีคนใหม่ คงไม่ใช่ปัญหา เพราะภาคเอกชนพร้อมทำงานกับทุกคนอยู่แล้ว
ปัญหาใหญ่ อยู่ที่ว่า ณ เวลานี้จำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องการให้กระบวนการขับเคลื่อนประเทศ เกิดขึ้นได้โดยเร็วที่สุด เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับทุกฝ่าย เมื่อมีความเชื่อมั่นเกิดขึ้น ทุกอย่างก็จะดีขึ้นตาม
ท่ามกลางสถานการณ์การเมืองที่ยังไม่สงบ!! แต่เชื่อหรือไม่? ว่า… บรรดาพวกแก๊งหลอกลวง ยังผุดเป็นดอกเห็ด ไม่สนใจว่าบ้านเมืองเค้าจะไปทางไหน สนแค่เพียง…หลอกเงินชาวบ้านให้ได้ก็เท่านั้น
ที่สำคัญ วิธีการหลอกลวง ยังล้ำหน้าทันสมัย แทบจะตามกันไม่ทันทีเดียว เพราะล่าสุด ก็ใช้วิธีการส่งเอสเอ็มเอสมายัง “เหยื่อ”โดยตรง โดยผ่านเครือข่ายคมนาคมหลัก
ความล้ำหน้าของแก๊งหลอกลวงเหล่านี้ ทำให้ยอดถูกหลอกลวงแอปดูดเงินนั้น กลับเพิ่มขึ้นมามากในช่วง 2 เดือนที่ผ่านมา ซึ่งในช่วง 7 เดือนนับตั้งแต่เดือนธ.ค.ปีที่แล้ว จนถึงครึ่งปีแรกของปีนี้ มีความเสียหายเกิดขึ้นประมาณ 1,152 ล้านบาทกันแล้ว
แบงก์ชาติได้ออกมาเตือนแล้วเตือนอีกว่า อย่านะ… อย่าคลิกลิงก์กันนะ ไม่ว่าจะมาจากเอสเอ็มเอส อีเมล์ ไลน์ หรือโซเชียลมีเดียใด ๆ ก็ตาม ต่อให้บอกว่ามาจากแบงก์ก็เถอะ
ถ้า “คลิกลิงก์” เมื่อไหร่ หมดตัว หมดบัญชีแน่นอน และที่แย่!! ก็คือแบงก์เค้าไปรับผิดชอบให้นะ เพราะเค้าบอกแล้ว…บอกอีก…ว่าไม่มีการแนบลิงก์ใด ๆ จากแบงก์
ต่อให้…บรรดาแบงก์ได้ยกระดับการรับแจ้งเหตุจาก 24 ชั่วโมง และ ระงับธุรกรรมชั่วคราวได้ 72 ชั่วโมง เพื่อตัดตอนเส้นทางการเงิน และยังมีกระบวนการต่าง ๆ เพื่อลดความเสียหาย ตามพ.ร.ก.มาตรการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี พ.ศ.2566 หรือกฎหมายปราบโกงออนไลน์ ก็ตาม
แต่…สุดท้าย อย่างที่บอกถ้าคลิกลิงก์ ก็หมดตัวนั่นแหล่ะ!! สุดท้ายแล้ว การดูแล การระมัดระวังด้วยตัวเองก็คือวิธีการป้องกันการหมดตัวได้อย่างดีที่สุด ควบคู่ไปกับคาถาที่ต้องจำให้ขึ้นใจว่า “อย่าโลภ”
ก่อนหน้านี้แบงก์ชาติได้ออก 3 มาตรการหลักเป็นแนวทางปฏิบัติให้สถาบันการเงินทุกแห่งต้องปฎิบัติเป็นมาตรฐานเดียวกัน เริ่มตั้งแต่มาตรการการป้องกัน ที่มีถึง 6 เรื่องที่แบงก์ต้องทำตาม
ไม่ว่าจะเป็น เรื่องของ การยกเลิกการแนบลิงก์ผ่านเอสเอ็มเอสและอีเมล์ การจำกัดจำนวนบัญชีผู้ใช้งานแอปพลิเคชั่นของธนาคารบนมือถือ การพัฒนาระบบความปลอดภัยบนดมบายแบงกกิ้ง การแจ้งเตือนผู้ใช้บริการ การกำหนดเพดานวงเงินถอน วงเงินโอนสูงสุดต่อวัน รวมไปถึงการยกระดับความเข้มงวดในกระบวนการยืนยันตัวตน
นอกจากนี้ยังมีมาตรการที่เกี่ยวข้องกับการตรวจจับ ที่มีการกำหนดเงื่อนไขการตรวจจับและติดตามธุรกรรมที่เข้าข่ายผิดปกติ การจัดให้มีการแจ้งความออนไลน์ หรือแม้แต่การพัฒนาระบบตรวจจับและติดตามบัญชีหรือธุรกรรมต้องสงสัยแบบทันที
ขณะที่มาตรการสุดท้าย คือ..การตอบสนองและรับมือ ทั้งการจัดให้ทุกแบงก์ต้องมีช่องทางฮอตไลน์ 24 ชั่วโมง เพื่อแจ้งเหตุได้เร็ว การดูแลผุ้ใช้บริการที่ได้รับผลกระทบ หากความเสียหายเกิดขึ้นจากแบงก์ สุดท้าย คือการสนับสนุนข้อมูลให้ตำรวจอย่างเต็มที่และรวดเร็ว
ทั้งหลายทั้งปวง! ก็เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการเป็น “เหยื่อ” เพิ่มมากขึ้น แต่ต่อให้สารพัดหน่วยงานวางระบบวางระเบียบวางกฎเกณฑ์ไว้รัดกุมแค่ไหน? แต่บรรดาแก๊งหลอกลวง ก็สามารถแหกคอกแหกกฎออกมาหาวิธีใหม่ ๆ ออกมาตกเหยื่อ ได้อยู่ร่ำไป
เอาเป็นว่า ใครที่ตกเป็นเหยื่อ เข้าแล้ว อย่างแรกต้องมีสติจำบัญชีที่โอนเงินไปและหยุดติดต่อทันที จากนั้น…ก็ติดต่อแบงก์ที่ใช้บริการทันที เพื่อระงับธุรกรรมที่แบงก์ก็ทำได้แค่เพียง 3 วันหรือ 72 ชั่วโมงเท่านั้น
จากนั้น… ก็ต้องเร่งแจ้งความอย่างเร็วภายใน 72 ชั่วโมง ผ่านเว็บ Thaipoliceonline.com ตลอด 24 ชั่วโมง หรือที่สถานีตำรวจ เพื่อให้ตำรวจแจ้งแบงก์ให้ขยายเวลาการระงับธุรกรรมต่อไปอีก 7 วัน เพื่อสอบสวนและออกหมายอายัดบัญชีต่อไป
ณ เวลานี้ จำให้ดี เพียงแค่…อย่าคลิกลิงก์!! ก็ปลอดภัยจากทุภัยแล้ว
……………………………………….
คอลัมน์ : เศรษฐกิจจานร้อน
โดย “ช่อชมพู”