หนึ่งในนั้นคือ “รถยนต์ไร้คนขับ-ยานยนต์ไร้คนขับ” ซึ่งมีการขับเคี่ยวแข่งขันในการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีนี้กันดุเดือดมากขึ้นเรื่อย ๆ โดยในหลายประเทศได้มีการนำมาทดลองใช้งานบนถนนจริง ๆ กันบ้างแล้ว เช่น จีน สหรัฐอเมริกา ซึ่งวันนี้ “ทีมสกู๊ปเดลินิวส์” ชวนอัปเดตเรื่องนี้…

ทั้งนี้ “รถยนต์ไร้คนขับ” หรือที่ศัพท์ภาษาอังกฤษเรียกว่า “Autonomous Car”นั้น เทคโนโลยีนี้นับวันจะมีการพัฒนาน่าสนใจมากขึ้นเป็นลำดับ ซึ่งเกี่ยวกับ “เทคโนโลยียานยนต์ไร้คนขับ” นี่ก็มีข้อมูลน่าสนใจในบทความใน เว็บไซต์สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล www.depa.or.th ในชื่อเรื่องว่า “เทคโนโลยีที่สำคัญในยุคดิจิทัล : เทคโนโลยีรถยนต์ไฟฟ้าและไร้คนขับ (Tech Series : Electric and Autonomous Cars)” ที่ได้มีการอธิบายแจกแจงเกี่ยวกับเทคโนโลยีดังกล่าวนี้…

ยิ่งกว่ารถพลังไฟฟ้าคือ “รถไร้คนขับ”

จาก “ที่เคยเห็นกันในหนัง…วันนี้มีจริง”

มาอัปเดตด้วยข้อมูลจากแหล่งข้างต้นกัน…

ข้อมูลในบทความในเว็บไซต์หน่วยงานดังกล่าวระบุถึง “ทิศทางรถยนต์ไร้คนขับ” ไว้ว่า… ปัจจุบันบริษัทยักษ์ใหญ่ทั่วโลกต่างกำลังแข่งกันพัฒนาเทคโนโลยียานยนต์นี้ และ มีแนวโน้มเติบโตอย่างรวดเร็วในอนาคต โดยมีการมองว่ารถยนต์ไร้คนขับนี้สามารถ ช่วยลดอุบัติเหตุ อีกทั้ง เป็นตัวเลือกการเดินทางสำหรับคนที่ขับรถไม่ได้ รวมถึง ช่วยลดระยะเวลาการเดินทาง …นี่เป็น “ข้อดี” ของ “รถยนต์ไร้คนขับ” ซึ่งที่เต็มระบบนั้นจะขับเคลื่อนด้วยตัวเองโดยไม่ต้องอาศัยคนควบคุม

Gps system in a smart car

สำหรับ “เทคโนโลยีที่ใช้ในรถยนต์ไร้คนขับ” จะเป็นการทำงานร่วมกันของเทคโนโลยีต่าง ๆ โดยแบ่งเป็น 4 ส่วนสำคัญ ดังนี้… 1.ระบบแผนที่ (Navigation) ซึ่งจะประกอบด้วยระบบระบุตำแหน่งของรถยนต์ขับเคลื่อนอัตโนมัติจากดาวเทียม และระบบแผนที่เสมือนจริง ซึ่งเก็บรวบรวมข้อมูลในคลังข้อมูลดิจิทัล โดยเป็นข้อมูลทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับการวิ่งของรถบนถนน เช่น ตำแหน่งไฟจราจร ทางม้าลาย ป้ายสัญญาณ ความกว้างถนน และความเร็วสูงสุดที่กฎหมายอนุญาตให้วิ่งได้ นอกจากนั้นยังมีการประมวลผลของระบบนี้ ร่วมกับระบบ Sensor เพื่อเพิ่มความถูกต้องและแม่นยำในการตัดสินใจ

2.ระบบที่ทำหน้าที่เป็นหูและตาให้รถยนต์ขับเคลื่อนอัตโนมัติ (Computer Vision) ใช้ตรวจจับการเปลี่ยนแปลงของสภาพแวดล้อมในขณะที่รถกำลังวิ่ง, 3.ระบบประมวลผลปัญญาประดิษฐ์ (Deep Learning) เพื่อทำหน้าที่เหมือนสมองของรถยนต์ไร้คนขับ และเป็นระบบที่ทำให้รถยนต์สามารถตัดสินใจได้ด้วยตัวเองจากการประมวลผลข้อมูลที่รับมาจากระบบ Computer Vision หรือระบบที่ทำหน้าที่เป็นหูและตาให้กับรถยนต์ไร้คนขับ และ 4.ระบบเชื่อมต่อระบบประมวลผลส่วนกลางเข้ากับระบบเครื่องจักรของรถ (Robotics) ที่จะทำหน้าที่เสมือนเส้นประสาทเชื่อมต่อสมองของมนุษย์…

นี่เป็น“4 ระบบหลัก” ของ“รถไร้คนขับ”

ขณะที่ “ระดับความเป็นอัตโนมัติ” ของรถยนต์ไร้คนขับนั้น เรื่องนี้ก็ “มีการแบ่งระดับ” ไว้ โดย สมาคมวิศวกรยานยนต์ (Society of Automotive Engineering : SAE) เป็นผู้กำหนดมาตรฐานต่าง ๆ เกี่ยวกับรถยนต์ไร้คนขับ ซึ่งได้มีการแบ่งระดับด้วยการ จำแนกความเป็นอัตโนมัติตามระดับการเข้ามีส่วนของมนุษย์ เอาไว้ดังต่อไปนี้คือ… ระดับ 0 (No Automation) คือไม่อัตโนมัติ มีการบังคับควบคุมด้วยมนุษย์ทุกอย่าง, ระดับ 1 ผู้ช่วยขับเคลื่อน เริ่มมีความเป็นอัตโนมัติโดยมีการเพิ่มฟังก์ชั่นผู้ช่วยในการขับ อาทิ เข็มบอกความเร็ว ระบบควบคุมความเร็วของรถ, ระดับ 2 ระบบอัตโนมัติบางส่วน คือมีการควบคุมรถด้วยมนุษย์ในบางระบบในบางส่วน โดยที่มนุษย์จะสั่งการจากระบบหน้าจอเป็นบางครั้งบางคราว

ระดับ 3 ระบบขับเคลื่อนระยะไกล รถสามารถทำงานระบบอัตโนมัติได้เพิ่มขึ้น เช่น สามารถตรวจจับสิ่งแวดล้อม และบังคับควบคุมได้ในระยะทางที่ไกลเพิ่มขึ้นกว่าระดับ 2, ระดับ 4 ระบบอัตโนมัติชั้นสูง เป็นระดับที่ยานพาหนะสามารถบังคับขับเคลื่อนและวิเคราะห์สภาพแวดล้อมภายใต้สภาวะที่เกิดขึ้นในเวลานั้น ๆ ได้ทันที โดยที่มนุษย์มีส่วนบังคับควบคุมน้อยมาก หรือแทบจะไม่ต้องบังคับเลย และ ระดับ 5 ระบบอัตโนมัติเต็มรูปแบบ หรือ Full Automation เป็นระดับที่รถเคลื่อนที่ไปได้เองในทุกสภาวะ และวิเคราะห์สถานการณ์ที่จะเกิดขึ้นได้ หรือ มีประสิทธิภาพเหมือนมนุษย์ควบคุมทุกประการ!!

นี่เป็น “ระดับอัตโนมัติ” ใน “รถไร้คนขับ”

ทั้งนี้ ข้อมูลในบทความ Tech Series : Electric and Autonomous Cars ใน www.depa.or.th ยังมีส่วนที่ระบุถึง “Autonomous Car – รถยนต์ไร้คนขับ” ไว้ด้วยว่า… “เทคโนโลยีรถยนต์ไร้คนขับจะเป็นเทคโนโลยีที่ จะส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงแบบพลิกผัน (Disruptive Technology) ต่อการคมนาคม และแวดวงอุตสาหกรรมรถยนต์ทั่วโลกในอนาคต อย่างแน่นอน แต่การเปลี่ยนแปลงดังกล่าวจะเกิดขึ้นเร็วหรือช้านั้นขึ้นอยู่กับความเร็วในการพัฒนาเทคโนโลยีที่อยู่เบื้องหลัง อัตราการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของผู้บริโภค และนโยบายสนับสนุนจากภาครัฐแต่ละประเทศด้วย” …นี่เป็น “คีย์เวิร์ดสำคัญ”

“ดิจิทัลพลิกโลก” ก็ “พลิกการใช้รถด้วย”

แต่ “มองภาพรวมในไทยแล้วก็ชวนคิด”

“รถไร้คนขับ…ไทยพร้อมแค่ไหน???”.