การเลือกตั้งเที่ยวนี้ อาจเรียกได้ว่า หลัก ๆ แข่งกันที่นโยบายลดแลกแจกแถมมาก เพราะมันเป็นจิตวิทยาง่าย ๆ ที่ทำให้ผู้รับสารรู้ว่า “เลือกไปแล้วจะได้อะไรที่เป็นตัวเงิน, ผลประโยชน์ที่จับต้องได้” ส่วนเรื่อง วินัยการเงินการคลังก็เดี๋ยวไปไล่เบี้ยเอาข้างหน้ากันเอง ถ้าทำโครงการแล้วขาดทุน แบบตอนที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ออกมาคัดค้านนโยบายจำนำข้าว ..ส่วนจะหวังให้คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ตรวจสอบท้วงติงเรื่องการใช้งบประมาณ ความคุ้มค่า ความเสี่ยง ก็เห็นจะยาก เพราะดู กกต.ออกตัวกลายๆ แล้วว่า ไม่ได้มีอำนาจห้ามในการหาเสียงตรงนั้น เป็นเรื่องที่แต่ละพรรคการเมืองต้องอธิบายประชาชนเอง วันนี้เลยเอานโยบายง่ายๆ น่าจะติดหูเร็วมาเล่าสู่กันฟัง

นโยบายที่ฟังแล้วตาลุกที่สุดตอนนี้คงไม่พ้นแจก “เงินดิจิทัล” หัวละ 10,000 บาท ของพรรคเพื่อไทย เพื่อหวังกระตุ้นเศรษฐกิจในระยะสั้น (ระยะเวลาการใช้ 6 เดือน) คาดว่าใช้งบประมาณ 5.5 แสนล้านบาท คนก็ถามๆ กันมามากว่าเป็นอย่างไรเหรอ เข้าใจกันคนละทิศคนละทาง บ้างก็ว่าเป็นเงินบาทนี่แหละ แต่แจกเข้าดิจิทัลวอลเลต อารมณ์ประมาณเติมเงินให้ในแอปพลิเคชันเป๋าตัง ..บางคนก็ว่าไม่ใช่ มันเป็นเงินดิจิทัลสกุลใหม่ แต่ทีนี้คือ ธนาคารแห่งประเทศไทย ( ธปท.) อนุมัติให้ใช้หรือยัง และถ้าเป็นสกุลใหม่จะไปอ้างอิงกับอะไร

ข้อสังเกตต่อเงินดิจิทัลของพรรคเพื่อไทย ทำทั้งหมดได้โดยไม่ต้องใช้บล็อกเชน |  Blognone

ขณะที่ พรรคก้าวไกล เขาว่า เขาเน้น นโยบายรัฐสวัสดิการถ้วนหน้า คือ มีเงินอุดหนุนตามช่วงวัยที่จำเป็น เช่น อุดหนุนเด็ก อุดหนุนค่าอาหารเด็ก อุดหนุนคนแก่ แต่ ไม่ได้เน้นนโยบายในเชิงแจกเงิน ก็เข้าลักษณะของพรรคก้าวไกลที่มีอุดมการณ์ดูจะเอียงซ้ายคือ สร้างรัฐสวัสดิการเท่าเทียม, พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) และรวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) ก็มี นโยบายแจกเงิน แต่เขาเลือกเฉพาะให้กลุ่มรายได้ต่ำ กลุ่มเปราะบาง ทำให้ฐานการใช้เงินสำหรับทำโครงการน้อยลง การแจกก็ใช้วิธีเติมเงินเข้าบัตรคนจน ซึ่งตอนนี้ฐานการลงทะเบียนอยู่ที่มีผู้มีสิทธิ 14 ล้านคน

ภูมิใจไทย เขาว่า เขามองในแง่ของ การให้โอกาสมากกว่าแจกแบบเบี้ยหัวแตก เลยมี นโยบายพักหนี้ 3 ปี หยุดต้น ปลอดดอกเบี้ย โดย อนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคระบุว่า นโยบายนี้สำคัญ เพราะ ในช่วงโควิดมีการกู้หนี้ยืมสินมากมาย ต้องให้โอกาสพักหนี้ หาเงิน 3 ปีพอทำให้คนไทยฟื้นตัวได้ มีความสามารถชำระหนี้ได้ การเดินหน้านโยบาย รัฐต้องออกพันธบัตร ตั้งกองทุน แล้วไปเจรจากับเจ้าหนี้ จัดการหนี้สิน และดูแลเรื่องดอกเบี้ย ไม่ให้หนี้สูญ

นอกจากนี้อีกหนึ่ง นโยบายที่ต้องเร่งทำอีกเรื่องคือการให้กู้ฉุกเฉิน 50,000 บาท ไม่ต้องมีคนค้ำประกัน จากนั้นค่อยกลับมาใช้คืนพร้อมดอกหลังจากนั้น 30 วัน ทำให้คนไทยได้มีเงินหมุนเวียน เพื่อไปสร้างรายได้ ต่อมาต้องลดความวิตกกังวลทุกคนต้องมีมรดกไว้ให้ลูกหลาน หรือ นโยบายกองทุนประกันชีวิต 60 ปีขึ้นไป เมื่อเสียชีวิต ครอบครัวจะได้เงินจากกรมธรรม์ที่รัฐทำให้ จำนวนเงินทั้งสิ้น 100,000 บาท ผู้สูงวัยยังสามารถกู้เงินตรงนี้ มาดูแลตัวเองได้ 20,000 บาท 

ส่วน ชาติพัฒนากล้า (ชพก.) เขาว่า เขาไม่เน้นแจกเงิน แต่เน้นหาเงิน โดยอาศัย “ความเป็นไทย” เป็นซอฟต์พาวเวอร์ดึง นักท่องเที่ยวสายต่างๆ เช่น เรื่องอาหาร เรื่องกีฬา เรื่องสถานที่ท่องเที่ยวที่เป็นมิตรต่อกลุ่มหลากหลายทางเพศ ไปจนถึงการทำทัวร์สายมู หรือสายไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ สร้างสตอรี่ขึ้นมาแล้วสร้างมูลค่า โดย อรรถวิชช์ สุวรรณภักดี รองหัวหน้าพรรคบอกว่า ที่ผ่านมาเน้นกันแต่เรื่องประชานิยม แต่ ชพก.จะสร้างโอกาสนิยมแทน, ในส่วนของเรื่อง ค่าไฟ ทาง กรณ์ จาติกวณิช หัวหน้าพรรค ก็บอกว่า ต้องแก้ปัญหาค่าเอฟทีที่ไม่เป็นธรรม ..ทำนองว่า ค่าเอฟทีมันเป็นค่าผันแปรต้นทุนการผลิต เพิ่มทุก 4 เดือน ..เมื่อเราใช้พลังงานจากต่างประเทศเป็นต้นทุน ช่วงสงครามรัสเซีย ยูเครน พลังงานแพงขึ้น ค่าเอฟทีก็เลยขึ้นตาม แต่พอราคาพลังงานต้นทุนลด ค่าเอฟทีดันไม่ลด

ประชาธิปัตย์ ก็จะแก้ ปัญหาเรื่องค่าเอฟทีด้วย และก็แถลงเรื่องนโยบายเศรษฐกิจภาพรวมไป โดยมีคำจำง่ายๆ คือ อัดฉีด 1 ล้านล้านบาทเข้าระบบ กระตุ้นจีดีพีเติบโตไม่น้อยกว่าร้อยละ 5 ม.ร.ว.ศศิพฤนท์ จันทรทัต ทีมเศรษฐกิจพรรค สนับสนุน จัดตั้งธนาคารที่มีลักษณะเป็นไมโครไฟแนนซ์ เพื่อนำเงินทุนหมุนเวียนเข้าสู่กลุ่มฐานรากและธุรกิจเอสเอ็มอีทั่วประเทศ โดยดำเนินการผ่านไปรษณีย์ไทย มีนโยบายจัดตั้งธนาคารหมู่บ้านและชุมชน แห่งละ 2 ล้านบาท นำไปปล่อยกู้ในกับคนในชุมชนเพื่อนำไปทำทุนค้าขาย โดยไม่ต้องมีหลักประกัน ดอกเบี้ยต่ำ ให้ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) และธนาคารออมสินในชุมชนไปเข้าเป็นเหมือนพี่เลี้ยงกำกับดูแลให้ดำเนินงานตาม พ.ร.บ.สถาบันการเงิน จึงเชื่อว่าจะไม่เกิดปัญหาเหมือนโครงการในอดีต

รวมถึงจะต้องสนับสนุนการระดมทุนขนาดใหญ่เพื่อเป็นกองทุนสำหรับการก่อสร้างบรรดาโครงสร้างพื้นฐาน โดยเราโน้มน้าวหรือเชิญชวนผู้เงินฝากในระบบสถาบันการเงิน ที่ปัจจุบันมีกว่า 18 ล้านล้านบาท โดยเอามาเพียง 1.2 ล้านล้านบาท ให้ผู้ฝากเงินเปลี่ยนจากเงินฝากมาเป็นการลงทุนในการปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ อีกทั้ง ควรกระจายการก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานไปตามพื้นที่ต่างๆของประเทศ เพื่อกระจายความเจริญ  

แต่ที่น่าสนใจที่สุดแบบสะดุดหู คือที่ พิสิฐ ลี้อาธรรม ทีมเศรษฐกิจพรรค จะเสนอให้เพิ่มอายุการเกษียณ ทั้งภาครัฐและเอกชนไปอีก 5 ปี โดยชี้ให้เห็นว่า ต่อไปแรงงานลดลง ผู้สูงอายุมากขึ้น และคงใช้จ่ายจากเงินสนับสนุนจากรัฐไม่พอ จึงต้องให้ผู้สูงอายุได้มีงานทำ แต่ผู้สูงอายุต้องให้มีการตรวจสุขภาพเพราะต้องมีสุขภาพที่สมบูรณ์ และทำงานตำแหน่งผู้เชี่ยวชาญและที่ปรึกษาหรือไกด์ นอกจากนี้ ต้องปรับแก้ระบบประกันสังคมให้ยืดหยุ่นขึ้น แก้โครงสร้างให้เป็นระบบคล้ายกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ (กบข.) หรือกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ ผู้ประกันตนสามารถเลือกบำเหน็จหรือบำนาญ  

นายพิสิฐ ระบุว่า เราปฏิเสธไม่ได้ว่า ผู้สูงอายุในประเทศไทยมีมากขึ้น และจะปล่อยให้คนกลุ่มนี้เป็นคนจนกลุ่มใหม่ไม่ได้  การยืดอายุการทำงาน เพราะเชื่อว่าผู้สูงอายุมีประสบการณ์ มีความรู้ มีความสามารถอยู่ หากปล่อยให้ออกจากงานก็น่าเสียดาย ส่วนการเพิ่มเงินให้ผู้สูงอายุด้วย แต่เราจะไม่ประกาศตัวเลข เพราะเราไม่ต้องการไปแข่งกับใคร.. แต่ระวังนโยบายนี้จะถูกวิพากษ์วิจารณ์เยอะว่า “เป็นการตัดช่องทางการเข้าสู่ระบบงานของคนรุ่นใหม่หรือไม่” หากบริษัทที่จ้างงาน หรือภาคราชการมีงบค่าจ้างจำกัด ผู้สูงอายุยังทำงาน เขาก็อาจไม่จ้างเพิ่ม  

ที่มาแหวกแนวคือ รัชดา ธนาดิเรก กรรมการบริหารพรรคประชาธิปัตย์ บอกว่า พรรคสนับสนุนเซ็กซ์ทอยเสรี จากที่เดิมมองว่า  เป็นอันตรายต่อสังคมและศีลธรรม รวมถึงถูกตีความเป็นวัตถุผิดกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 287 และถูกจัดให้เป็นวัตถุที่เป็นของต้องห้ามตามความหมายใน พ.ร.บ.ศุลกากร พ.ศ. 2560 แต่เนื่องจาก ยังมีผู้ที่ต้องการสินค้าดังกล่าว จึงเกิดการลับลอบซื้อขายสินค้าดังกล่าว ซึ่ง ทำให้ภาครัฐต้องสูญเสียรายได้จากการจัดเก็บภาษีสินค้า เจ้าหน้าที่รัฐทุจริตเรียกรับสินบน ควบคุมความปลอดภัยสินค้าไม่ได้

เซ็กซ์ทอยจะสามารถลดการค้าบริการ และปัญหาการหย่าร้างจากความต้องการทางเพศที่ไม่สมดุล ที่สำคัญจะมีส่วนช่วยลดอัตราการก่ออาชญากรรมทางเพศ ในแง่เศรษฐกิจ จากรายงานของบริษัทวิจัย เทคนาวิโอ ของประเทศอังกฤษ ได้คาดการณ์การเติบโตของตลาดเซ็กซ์ทอย ช่วงปี 2562-2566 ว่าจะเติบโตต่อเนื่องปีละร้อยละ 7 สร้างเม็ดเงินเพิ่มขึ้นประมาณ 3 แสนกว่าล้านบาท ประเทศอินเดีย และจีน เป็นตลาดที่มีอัตราการเติบโตสูงที่สุด มีหลายประเทศ อาทิ ญี่ปุ่น สิงคโปร์ เยอรมนี สาธารณรัฐเช็ก ที่จัดให้เซ็กซ์ทอยเป็นสินค้าถูกกฎหมาย  

พรรคประชาธิปัตย์สนับสนุนให้มีการส่งเสริมอุตสาหกรรมเซ็กซ์ทอย รวมถึงต้องมีหน่วยงานรัฐ อย่างเช่น คณะกรรมการองค์การอาหารและยา (อย.) และสำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.) ควบคุม ตรวจสอบ และให้การรับรองคุณภาพของสินค้า เพื่อความปลอดภัยต่อตัวผู้ใช้ นอกจากนี้ ต้องแยกสินค้าเซ็กซ์ทอยออกจากประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 287 แล้วกำหนดเป็นสินค้าควบคุมพิเศษภายใต้การกำกับของหน่วยงานของรัฐ และต้องกำหนดหลักเกณฑ์ผู้ซื้อเซ็กซ์ทอย ต้องมีอายุไม่ต่ำกว่า 18 ปี

ก็แปลกดีที่พรรคอนุรักษนิยมจ๋าอย่างประชาธิปัตย์จะมาส่งเสริมเซ็กซ์ทอย แต่เอาจริงในโลกเสรีนิยมมันก็เป็นสิทธิส่วนบุคคลที่จะใช้ อะไรที่มันเป็นธรรมชาติวิสัยมนุษย์แล้วไม่เดือดร้อนใคร ก็อย่าดัดจริตเอาคำว่าศีลธรรมไปจับมากนักเลย… ก็เห็นโครงการลดแลกแจกแถมที่น่าสนใจราว ๆ นี้ แต่อย่างไรก็ตาม ไม่อยากให้มีการกู้เงินมาทำโครงการจนเสียวินัยการเงินการคลัง กลายเป็นสร้างหนี้เพิ่มอีก.

………………………………………………………
คอลัมน์ : ที่เห็นและเป็นอยู่
โดย “บุหงาตันหยง”