หากพูดถึงชื่อนางเอกสาวที่มีพัฒนาการด้านการแสดงอย่างต่อเนื่อง ต้องมีชื่อ นาว-ทิสานาฎ ศรศึก ติดโผในใจของหลายคนแน่นอน ซึ่งล่าสุดเจ้าตัวก็ได้ท้าทายฝีมืออีกครั้งกับ “สร้อยนาคี” ทางช่อง 7HD ซึ่งเปิดตัวได้อย่างสวยงาม และยังถือเป็นผลงาน ทิ้งทวนก่อนที่เจ้าตัวจะลาเมืองไทย พร้อมบินตรงไปเรียนต่อที่ออสเตรเลียด้านภาษาด้วย วันนี้ “ดาวต่างมุม” เลยไม่พลาดมาพูดคุยกับสาวสวยคนนี้ ทั้งความท้าทายกับบทนาคสาวที่เต็มไปด้วยรักและแค้น รวมไปถึงมุมมองในวงการบันเทิง ที่นาวตั้งใจอยากแสดงในหลากหลายบทบาท รวมทั้งเหตุผลและการต่อยอดหลังจากเรียนต่อด้านภาษา และพลาดไม่ได้กับการ อัปเดตเรื่องความรักหนุ่ม นิว-วงศกร ปรมัตถากร ที่คบหากันมายาวนานถึง 10 ปี ผ่านร้อนหนาว จนถึงวันนี้งานแต่งไม่ใช่ตัววัดหรือจุดสิ้นสุดความรัก แต่เป็นความสบายใจที่อยู่ด้วยกัน และชอบตัวเองเวลาที่ได้อยู่กับแฟนหนุ่มด้วย

การเตรียมตัวและความท้าทายของบท “ทาวดี” คืออะไร?

“ตัวละครนี้ดราม่าที่รุนแรงมากขึ้น มีการใช้อารมณ์มากขึ้น คาแรกเตอร์มีความแค้นอาฆาต โกรธ ไม่ได้ดราม่าแบบรักเอย แต่มีพลัง อภินิหารในการทำร้ายคนอื่น บทนี้ไม่ได้มีเรื่องอะไรเตรียมเยอะเท่าไหร่ ส่วนใหญ่ก็เป็นความกังวลเรื่องของภาษามากกว่าค่ะ มันเป็นภาษาโบราณ ที่ไม่ได้เข้าปากเราเท่าไหร่ แม้เราจะเล่นพีเรียดมา แต่ชีวิตประจำวันไม่ได้ใช้อยู่แล้ว เลยต้องทำการบ้านตรงนี้เป็นพิเศษ ส่วนใหญ่เวลาที่หนูได้รับบทที่เป็นพีเรียด ถ้าเป็นภาษาโบราณ หนูจะอ่านบทแทบทุกคำ เวลาพูดก็พูดแทบทุกคำที่อยู่ในบท ถ้าเป็นภาษาทั่วไป เราก็พูดตามฟีลที่เข้าปากค่ะ”

เรียกว่าเป็นการรับบทบาทที่ร้ายที่สุด ไม่ใช่นางเอกโดนกระทำ เป็นครั้งแรกมั้ย?

“เป็นครั้งแรกเลยค่ะ แต่ว่ามันไม่ใช่นางร้ายปากแดงแบบที่ทุกคนมีภาพในหัว แต่เป็นร้ายแบบเหมือนเราสู้เพื่อให้เราได้ของเราคืนมา แม้ว่าเราจะต้องทำร้ายใคร บางทีมันก็ไม่มีเหตุผล ไม่ใช่นางเอกสวยหรู โลกสวย คือมนุษย์คนนึง ที่มีความรัก”

หลังจากประสบความสำเร็จจาก “แม่เบี้ย” ทำให้การแสดงเรื่องนี้กดดันมั้ย?

“หนูไม่ได้กดดันเลยนะคะ ไม่ว่าเรื่องไหน ๆ เราก็ทำงานเต็มที่อยู่แล้ว แต่มันจะไปทัชใจคนดู ก็คงเป็นเรื่องของบทบาท ตัวบทละคร หรือเนื้อเรื่องที่คนดูจะชอบหรือไม่ชอบ แต่ในเรื่องของการแสดง เราเต็มที่อยู่แล้ว เพราะฉะนั้นไม่คาดหวัง เพราะว่ามันดีกว่า หรือแย่กว่า จะยังไง หนูก็รู้สึกว่าเต็มที่กับมันค่ะ”

อยากให้คนจดจำ “นาว” ในผลงาน “สร้อยนาคี” ยังไง?

“ไม่คาดหวังอะไรเลยนะคะ ในเรื่องหนูใส่ชุดไทยเยอะมาก เป็นยูนิฟอร์มของหนูเลย ทุกคนจดจำหนูในภาพที่หนูใส่ชุดไทยมาตลอด กว่าที่คนจะยอมรับว่าหนูสามารถเล่นอีโรติกได้ มันก็ใช้เวลาพอสมควร หนูว่า ณ จุดนี้หลายคนก็ค่อนข้างชื่นชมหนูในเรื่องของบทบาทการแสดงและการพัฒนาของหนูมาประมาณนึงแล้ว หนูดีใจมากและขอบคุณทุกคนเลย ถ้าไม่มีทุกคนคอยคอมเมนต์หนูก็ไม่รู้ตัวเองว่าต้องผลักดันตัวเองขนาดไหน ก็อยากรู้ตัวเองเหมือนกันว่าหนูทำได้มั้ย ต้องขอบคุณคอมเมนต์ต่าง ๆ ที่ทำให้หนูก้าวข้าวสเต็ป การแสดงของหนูขึ้นไปเรื่อย ๆ ถ้าถามอยากให้คนจดจำหนูในแบบไหน หนูอยากให้คนนึกถึงหนูในหลายบทบาท หนูเข้าใจว่าพีเรียด รำ ทุกคนนึกถึงหนู แต่หนูก็อยากให้ทุกคนนึกถึงหนูในหลาย ๆ บทบาทค่ะ”

ยังมีบทบาทไหน ที่อยากท้าทายการแสดงและก้าวผ่านไปให้ได้อีกมั้ย?

“หนูอยากเล่นเป็นฟีลหนัง ด้วยความเป็นละครมันจะมีคำว่านางเอกอยู่ในกรอบ แต่ถ้ามันเป็นฟีลหนัง หรือเป็นซีรีส์มันจะมีความเป็นชีวิตมาก ๆ ดราม่าหนูก็ชอบ แต่ต้องเป็นหนังนะ เพราะเป็นละครมันก็จะเป็นฟีลนางเอก หนูอยากลองเล่นเป็นหนังดู หรือจะเป็นคอมเมดี้ โรคจิตร้าย ๆ อยากลองเล่นที่เป็นชีวิตมนุษย์จริง ๆ ค่ะ”

พออยู่วงการมานานแบบนี้ อะไรเป็นปัจจัยสำคัญในการรับบทบาทแต่ละครั้งบ้าง ต้องเป็นตัวนำตลอดมั้ย?

“จริง ๆ หนูอยากเล่นทุกเรื่องที่ทางช่องส่งให้เลย แต่ว่าเมื่อก่อนตัวหนูก็ไม่ได้คิดว่าเราต้องเปลี่ยนบทบาท แต่ต้องขอบคุณคอมเมนต์
หลายอย่างที่ทำให้หนูสามารถก้าวข้ามการแสดงของหนูไปเรื่อย ๆ ทุกคนจะบอกว่าเห็นนาวบทนี้เยอะแล้ว นาวเล่นเหมือนเดิม มันทำให้กลับมาคิดว่าหนูควรจะเปลี่ยนดู ตอนแรกหนูไม่ได้คิดอะไร ช่องให้หนูมา ก็ดีใจที่มีงาน ก็อยากเล่นและอยากรับ แต่หลัง ๆ มา หนูขอลองเปลี่ยนดูบ้าง ถ้าทุกคนไม่คอมเมนต์ หนูก็ไม่ได้คิดแบบนี้”

ในปีนี้มีผลงานอะไรอีกบ้าง?

“มีหนังเรื่อง ‘กล่อมนารี The Ghost Radio Project’ ถ่ายทำเสร็จไปแล้ว เป็นหนังผี ซึ่งถ้าใครได้ฟัง The Ghost Radio เขาก็จะเอาเรื่องที่คนทางบ้านเล่ามาทำเป็นหนัง มีพี่เอ-ไชยา มิตรชัย เล่นด้วย เป็นลิเก ชื่อคณะศรชัย หนูไม่แน่ใจถ้าใครฟัง ก็น่าจะพอรู้เรื่องราวอยู่ และมีการเลี้ยงผีกะ ซึ่งหนูก็เคยเล่นผีกะ หนูก็ตกใจทำไมได้มาคลุกคลีอะไรแบบนี้อีกแล้ว (หัวเราะ) ก็ไม่รู้ว่าจะออนแอร์เมื่อไหร่ ไม่แน่ใจแต่คิดว่าน่าจะปีนี้ ซึ่งเรื่องนี้คาแรกเตอร์เป็นฟีลธรรมชาติมากขึ้น เพราะหนูไม่ได้แต่งหน้าเลย ก็มีแต่แค่ปิดสิว ปิดรอยดำ ปิดใต้ตา ซึ่งหนูชอบมาก แต่หนูก็ยังมีความเป็นรำ ๆ อยู่”

เป็นเพราะได้ไปแสดงหนังนี้รึเปล่า เลยทำให้ “นาว” ติดใจอยากเล่นหนัง?

“ผลงานที่สำคัญชิ้นแรก ๆ นอกจากเอ็มวี ก็คือหนัง หนูชอบหนังมาก รู้สึกว่ามันไม่ต้องมาประดิษฐ์เยอะ แสดงเหมือนไม่แสดง แต่พอเล่นละครปุ๊บ มันก็มีปัจจัยหลายอย่างที่ทำให้เราดูไม่ค่อยธรรมชาติเท่าไหร่ (หัวเราะ) อาจด้วยคำพูด ไดอาล็อก การวางท่าทางที่มันเป็นนางเอก หนูไม่ได้เบื่อนางเอก หนูไม่ได้ยึดติดว่าหนูต้องเป็นนางเอก แค่อยากเล่นอะไรที่มันท้าทายเฉย ๆ ค่ะ”

การใช้ชีวิตในวงการ ก็มักถูกคาดหวังหรือจับตามอง เคยมีคอมเมนต์หรืออะไรที่ทำให้รู้สึกท้อ และไม่อยากไปต่อมั้ย?

“มีอยู่แล้วค่ะ ถ้าเป็นตอนเด็ก หนูก็คงเป็นฟีลแบบถ้าว่ามา หนูก็ว่ากลับ (ยิ้ม) หนูเป็นคนแบบนี้ แต่พอมันโตขึ้นเนอะ เราก็จะรู้ว่าอารมณ์ชั่ววูบ ไม่ได้ช่วยเราเสมอไป เหมือนเวลาเราโกรธ เราต้องไปอาบน้ำก่อน กินข้าวก่อน ค่อยกลับมาคุยกัน หนูก็จะใช้ตรรกะ อะไรที่ไม่ดี บางทีหนูอยากโต้ตอบกลับมากเลยนะ แต่หนูก็ไปกินข้าก่อนละกัน ไปนั่งดูหนังก่อนละกัน มันทำให้เราตัดสินใจได้ว่าเราจะทำอะไร ส่วนเรื่องคอมเมนต์เป็นเรื่องของคนอื่น หนูเลยมาปรับความคิดตัวเองว่านั่นเป็นปัญหาของคุณ ไม่ใช่ปัญหาของฉัน ฉันก็ปรับมายด์เซ็ตของฉันเอง นี่คือปัญหาของฉัน ฉันต้องอยู่กับสิ่งเหล่านี้ให้ได้ การเครียดไป มันก็ส่งผลต่อสุขภาพจิต เราต้องรักตัวเอง ถ้าเรารู้ว่าเราต้องรักตัวเอง ก็จะไม่ค่อยคิดเรื่องอะไรแบบนี้เท่าไหร่ วางได้ก็วาง”

นานแค่ไหน กว่าจะคิดได้แบบนี้ ต้องผ่านจุดไหนมาก่อนมั้ย?

“มันนานมากนะคะ กว่าหนูจะผ่านอะไรแบบนี้มาได้ แต่ไม่ใช่ว่าเราไม่รู้สึกหรือไม่คิด ทุกวันนี้ก็ยังคิดอยู่ แต่ว่ามันปรับได้ไวขึ้น ปล่อยวางได้ไวขึ้น แต่มันก็ยังมีอยู่แล้ว มันเป็นธรรมชาติของมนุษย์”

อยากประสบความสำเร็จในวงการนี้ยังไง?

“น่าจะเป็นเพราะหนูได้รางวัล เอเชียน เทเลวิชั่น อวอร์ดส ค่ะ หนูพอแล้ว หนูไม่เคยได้รางวัล และมันเป็นระดับเอเชีย เรารู้สึกโอเคแล้ว ถามว่ารางวัลนี้สำคัญยังไงกับนาว ทำให้รู้สึกว่าได้พิสูจน์ว่าเป็นนักแสดงตัวจริงรึเปล่า มันไม่ได้ขนาดนั้น แบบเราเจ๋งว่ะ! มันไม่ได้เป็นฟีลนั้น แค่มันรู้สึกว่ามีคนเห็นนะ แค่นั้นเอง (ยิ้ม)”

เห็นว่าไปเรียนเมืองนอก ด้านภาษาที่ออสเตรเลีย เล่าให้ฟังหน่อย อะไรทำให้ตัดสินใจไป?

“ไม่รู้นะว่าอะไรดลจิตดลใจ หนูแค่รู้สึกว่า ปีนี้หนูอายุ 30 ปี ซึ่งมันเป็นครึ่ง ๆ ของครึ่งชีวิต หนูอยากลองทำอะไรใหม่ ๆ ดู ที่
เลือกเรียนเรื่องภาษา เพราะหนูอยากพูดภาษาอังกฤษได้แบบร้อยเปอร์เซ็นต์ ตอนนี้ทุกอย่างพร้อมหมดแล้ว ทั้งโรงรียนและวีซ่า ก็ผ่านหมดแล้ว นาวเลือกเรียนที่เมืองเมลเบิร์น จริง ๆ อยากไปอังกฤษมาก หนูชอบที่นั่นแต่หนูมองว่าหนูน่าจะอยู่ยาก ด้วยวัฒนธรรมเขามันไม่ได้ใกล้เคียงกับเรา และหนูไปตัวคนเดียว ถ้าหนูมีเพื่อน หรือไปเป็นกลุ่ม ก็อยากไปแบบนั้น แต่พอไปคนเดียว เลยเลือกอยู่ออสเตรเลีย มันน่าจะง่ายกว่า ก็จะไปช่วงเดือน เม.ย. หลังสงกรานต์ค่ะ หนูคิดว่าจะไปอยู่ก่อนระยะนึงแล้วดูว่าเราอยากจะต่อยอดอะไร สิ่งที่หวังว่าจะได้กลับมาจากการไปครั้งนี้ คือหนูก็อยากไปในที่ที่ไม่ค่อยมีใครรู้จักหนูค่ะ อยากลองไปชิลชิลดู ที่ไม่ใช่ดารา”

ทำไมอยากให้ชีวิตชิลแบบคนธรรมดา เบื่อการโดนจับตามองเหรอ?

“ห้าสิบ ห้าสิบนะ (หัวเราะ) ก็ด้วยค่ะ คือรู้สึกไม่ค่อยเซฟโซน เวลาคนจับตามอง เลยเลือกที่ลองไปอยู่ที่อื่นดู ส่วนการต่อยอด คือหนูยังคิดเลยว่าที่โน่นเขาจะมีแคสต์แบบเอ็กซ์ตร้าหรือเปล่าน้อ อยากไปลองแคสต์ขำ ๆ แต่เรียนภาษาก่อน ให้เราพูดได้ แล้วลองดู อยากลองไปแคสต์เอ็กซ์ตร้าของเขา อยากรู้การทำงานของต่างประเทศเป็นยังไง ยังคุยกับพี่นิวเลยว่า ถ้ามีเน็ตฟลิกซ์หนูไปแคสต์เน็ตฟลิกซ์เล่นขำ ๆ ดีมั้ย (ยิ้ม) เป็นประสบการณ์ มันไม่มีดีหรือไม่ดี ผิดถูก หรือว่าเราเป็นนางเอกแล้วเราจะไม่สามารถทำแบบนั้นได้ หนูว่ามันเป็นประสบการณ์ที่ทำให้หนูได้ออกมาใช้ชีวิต ถ้าหนูได้ทำจริง ๆ ก็คงเป็นประสบการณ์ที่ดีมาก ๆ ค่ะ”

“พี่นิว”ว่ายังไงบ้าง กับการตัดสินใจไปเรียนภาษาครั้งนี้?

“ไม่ห้ามเลยค่ะ รายนั้นคือใจลึก ๆ เขาก็คงไม่อยากให้เราไป มันก็ห่างกัน แต่ด้วยความที่เขาก็เคยมีความฝันอยากไปเรียนที่ออสเตรเลียเหมือนกัน แต่ตอนนั้นฐานะทางบ้านเขาไม่ค่อยมี เขาเลยไม่ได้ไป พอเขาเห็นว่าหนูอยากลองไป เขาเลยไม่ได้ห้ามค่ะ เขาซัพพอร์ตทุกอย่างเลย ดูที่พัก ดูตั๋วให้ ดูหลาย ๆ อย่างให้”

กังวลรักทางไกลมั้ย คิดว่าจะเติมเต็มตรงนี้กันยังไง?

“ทุกวันนี้ก็ยังเฟซไทม์อยู่ พี่นิวเขาก็ถ่ายละครเยอะ เราก็ไม่ค่อยได้เจอกันเท่าไหร่ เวลาเขาเลิกกองก็ยังเฟซไทม์คุยกัน ก็เหมือนเราได้เจอกัน แต่แค่อันนี้เราอาจเจอกันน้อยลงจริง ๆ เพราะว่าหนูก็อยู่ที่โน่น ด้วยเวลาอาจต่างกัน ก็อาจน้อยลงไปบ้าง”

คิดว่าการไปเรียนต่อครั้งนี้ ถือเป็นอีกบทพิสูจน์รักแท้หรือเปล่า?

“ก็เรื่อย ๆ ค่ะ หนูกับพี่นิวเป็นคนเรื่อย ๆ มาอยู่แล้วตั้งแต่ต้น ไม่ได้มีความหวือหวาอะไร ถ้ามันโอเค มันดีก็ดีค่ะ”

คบมา 10 ปีแล้ว ยังมีอะไรต้องปรับตัวมั้ย?

“ไม่มีอะไรต้องปรับตัวแล้วค่ะตอนนี้ แทบไม่มีทะเลาะกันเลย เป็นความสบายใจและคอมฟอร์ตโซนของกันและกัน มีอะไรก็คุยกันได้ทุกเรื่องจริง ๆ เคล็ดลับที่ทำให้คู่เราคบกันยาวนานสำหรับหนูไม่มีนะ แต่หนูว่าพี่เขามีความอดทน หนูเป็นคนหลากหลายอารมณ์ บางทีเขาก็คงมีทั้งเบื่อ ตื่นเต้น และแปลกใหม่ดี วันนี้เจอมันเป็นอีกคน มันเหมือนเจอคนใหม่ในทุก ๆ วัน (หัวเราะ) บางวันหนูก็ขี้เกียจคุย บางวันหนูก็ติสต์บ้าง แต่มันไม่ใช่เรื่องซีเรียสนะ เราเป็นแบบนี้ มันคือความเป็นตลกของเราค่ะ”

ตลอด 10 ปีที่คบกัน มีอะไรประทับใจในตัว “นิว” เล่าให้ฟังบ้าง?

“เขาเหมือนเดิมในทุกการกระทำที่เขาเคยทำกับเรา การดูแลเอาใจใส่เหมือนเดิม มันอาจมากขึ้นกว่าเดิมด้วย จนหนูต้องบอกว่าเบาได้ก็เบานะ (หัวเราะ) ด้วยความที่เขาเห็นหนูมาตั้งแต่ขับรถไม่เป็น เรียนยังไม่จบ เขาก็มีความเป็นห่วง หนูก็เข้าใจ”

ตอนแรกที่คบกัน มองภาพออกมั้ยว่าจะคบกันได้นานเป็น 10 ปีแบบนี้?

“ไม่เคยคิดเลย ช่วงแรก ๆ ถ้าไม่ใช่พี่นิว เราคงเลิกกันไปแล้ว เพราะความงี่เง่าของหนูด้วย เมื่อก่อนหนูติสต์มาก อารมณ์สวิง เป็นช่วงวัยรุ่น แต่ตอนนี้โตแล้ว มีเหตุผล ส่วนสิ่งที่หนูติดมาจากเขาก็น่าจะเป็นความใจเย็น ความเอาใจใส่คนรอบข้างค่ะ”

ถามเรื่องการแต่งงาน เริ่มคุยกันหรือยัง?

“ยังนะคะ ยังมีความสุขดี สำหรับหนูกับพี่นิว การแต่งงานไม่ได้เป็นตัววัดสำหรับเราสองคนค่ะ เลยไม่ได้คิดอะไร ณ วันนี้ พี่นิวเองก็ไม่ได้ถามนะ เมื่อก่อนเขาคงคิดค่ะ แต่เดี๋ยวนี้เขาก็ไม่ได้คิดอะไรตรงนั้นแล้ว เรามาอยู่กันมา 10 ปีแล้ว ทุกอย่างดูมั่นคงดี ไม่ได้ระหองระแหงอะไร”

ไม่ได้มองว่าความรักจะมั่นคงเพราะการแต่งงาน?

“ใช่ค่ะ สำหรับคู่หนูคือการแต่งงานไม่ใช่จุดสิ้นสุดของเราสองคนค่ะ เรามีความสบายใจต่อกันและรักกันแบบนี้ไปเรื่อย ๆ มันก็โอเคค่ะ”

ท้ายสุดนิยาม “ความรัก” ตามแบบฉบับ “นาว” ณ ตอนนี้เป็นยังไง?

“มันคือการที่เราอยู่กับใครแล้ว เราไม่ต้องพยายามเป็นคนที่ใช่สำหรับเขา เราเป็นตัวของเราและมันโอเคกับทั้งสองฝ่าย นิยามความรักของหนูคืออยู่กับเขาแล้วรักตัวเอง เป็นตัวเองร้อยเปอร์เซ็นต์ เราชอบตัวเองเวลาอยู่กับเขา ไม่ได้รู้สึกว่าทำไมเราอยู่กับเขาแล้วอึดอัดค่ะ”

ทั้งหมดคือตัวตนของ “นาว” ที่บอกได้เลยว่าเธอพัฒนาทั้งฝีมือการแสดง ไปจนถึงความคิด ที่สำคัญสิ่งที่ทำให้การมีคนรักที่ดี อย่าง “นิว” ยังเป็นเหมือนขุมพลังชั้นดี เป็นแรงซัพพอร์ตให้เธอก้าวไปได้อย่างมั่นใจด้วย.

วันวิสาข์ ดอกเงิน : เรื่อง